วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 29-03-2012

·        กสิกรฯอัดโปรโมชั่นCash Backซ้ำ รับแรงซื้อนักลงทุน ชี้นักลงทุนทยอยซื้อตั้งแต่ต้นปี
·        ยูโอบีเฮ กองทุนหุ้น "UOBSSRMF "สไตรค์แล้ว รับปัจจัยศก.โลกฟื้น-การกระตุ้นในประเทศ
·        วรรณแนะลงทุนกองอสังหาฯ หนีหุ้นผันผวน
·        บัวหลวง-ธนชาตตบเท้าคลอดกองทุนบอนด์ หวังดึงลูกค้าแข่งเดือดผลตอบแทน
·        FUTUREPFเพิ่มทุน 1,500ล้าน ภายในไตรมาส 2-3นี้ เดินหน้ายืดอายุกองทุนเป็น 30ปี

บลจ.กสิกรฯอัดโปรโมชั่นCash Backซ้ำ รับแรงซื้อนักลงทุน

Source - เว็บไซต์สยามรัฐ (Th)

          บลจ.กสิกรฯ ชี้ผู้ลงทุนทยอยซื้อกองทุนฯตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ ธปท.ปรับเพิ่มGDPเป็น5.7%ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตเมื่อเทียบกับปท.เพื่อนบ้าน อัดโปรโมชั่นCash Backทุก100บ.ได้4แต้ม สะสมสูงสุด4เท่า
          นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นได้มีการปรับฐานลงจนหลุดระดับ 1,200 จุด ทำให้ยอดขายกองทุน LTF ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อน 50% สะท้อนชัดถึงความเข้าใจของผู้ลงทุนในการจับจังหวะซื้อ ซึ่งบลจ.กสิกรฯ มองว่า การที่หุ้นปรับตัวลงไปเป็นเพียงการปรับฐานในช่วงสั้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยรองรับเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาสุทธิกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท และปรับตัวขึ้นมาเกือบ 17% แล้ว จึงเป็นช่วงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าในระยะสั้นจะได้รับปัจจัยบวกจากข่าวดีในสหรัฐฯ และยุโรป แต่จากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงคาดว่า น่าจะมีการปรับฐานลงได้อีกในช่วงสั้นๆ ซึ่งเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากโอกาสการปรับตัวขึ้นของดัชนีในช่วงปลายปี
          โดยการปรับตัวลงของตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการปรับฐานระยะสั้นแต่ยังไม่ใช่ fund outflow ออกจากประเทศ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน เช่น สิงคโปร์ ปรับตัวขึ้นมาที่ 13% หรือ อินโดนีเซีย เติบโตเพียง 5% อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นมามากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แต่ด้วยอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ของตลาดหุ้นบ้านเรายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
          ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ปรับเพิ่มประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นมาเป็น 5.7% จากเดิมที่คาดไว้เพียง 4.9% ขณะที่ ตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย แม้จะมีการปรับตัวขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับไทย แต่ราคาหุ้นค่อนข้างแพง และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งมีแนวโน้มว่ารัฐบาลอาจจะหยุดการอุดหนุนราคาน้ำมัน จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและกระทบมายังตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ส่วนฟิลิปปินส์ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นประมาณ 16% ใกล้เคียงกับบ้านเรา อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องการขาดดุลงบประมาณค่อนข้างมาก และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงเช่นกัน ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเติบโตได้อีกในอนาคต โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้จะปิดที่ 1,250-1,300 จุด
          ผลการดำเนินงานของกองทุน LTF ของบริษัท ณ วันที่ 23 มี.ค.55 กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ให้ผลตอบแทนประมาณ 18.49% กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาว (KEQLTF) ให้ผลตอบแทนที่ 18.44% กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20LTF)ให้ผลตอบแทนที่ 18.14% และกองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล (KGLTF)ให้ผลตอบแทน 18.09% สำหรับกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นอย่างกองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KEQRMF) ให้ผลตอบแทนที่ 18.39% ในขณะที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 16.49%
          สำหรับผู้ลงทุนที่ทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้น ปรับฐานนี้ ไม่เพียงจะได้ประโยชน์จากการสะสมโอกาสรับผลตอบจากตลาดหุ้นขาขึ้น แต่ยังได้ต้นทุนที่ประหยัดกว่าการลงทุนในช่วงปลายปีที่ดัชนีมักจะปรับตัวสูง ขึ้น พร้อมทั้งได้รับโปรโมชั่น Cash Back จาก บลจ. กสิกรไทย โดยลูกค้าสามารถสะสมยอดซื้อกองทุน LTF-RMF ตั้งแต่ 3 ม.ค. – 28 ธ.ค.55 เพื่อโอกาสรับ Cash Back สูงสุด 120,000 บาท และสำหรับลูกค้าที่เลือกชำระค่าซื้อกองทุน LTF ผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยภายในวันที่ 30 เม.ย.นี้ จะได้รับคะแนนสะสมพิเศษสูงถึง 4 เท่า โดยค่าซื้อกองทุนทุกๆ 100 บาท จะได้รับคะแนนสะสมสูงถึง 4 คะแนน จากปกติที่ได้รับเพียง 1 คะแนนเท่านั้น


กองทุนหุ้น"UOBSSRMF"สไตรค์แล้ว รับปัจจัยศก.โลกฟื้น-การกระตุ้นในประเทศ
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ยูโอบี เฮกองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (UOBSSRMF) ถึงเป้าก่อนครบกำหนด 2 ปี จากปัจจัย เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
          นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด ได้กล่าวว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กองทุนเปิด ยูโอบีซุปเปอร์ สไตรค์ เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSSRMF) นับเป็นกองทุนหุ้นไทยอีกกองหนึ่งภายใต้การบริหารของ บลจ.ยูโอบี(ไทย) จำกัด ที่ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างผลตอบแทนถึงเป้าหมายก่อนกำหนด ผลมาจากความเชี่ยวชาญของทีมผู้จัดการกองทุนที่เลือกใช้กลยุทธ์การคัดเลือก หุ้นที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อ เนื่องจึงทำให้กองทุนดังกล่าวบรรลุเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนตามที่กำหนด ไว้
          ทั้งนี้ กองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์สไตรค์ เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSSRMF)เป็นกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีที่มีการกำหนดเป้าหมายและโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ชัดเจน มีอายุโครงการประมาณ 2 ปี  ในกรณีที่หลังจาก 1 ปีนับจากวันจดทะเบียนแล้ว หากมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 12 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา5 วันทำการติดต่อกัน บลจ.จะทำการเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุกองทุน โดยบริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ไปยังกองทุนเปิด ยูโอบี ออมทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSVRMF)
          โดยกองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSSRMF) ได้เปิดเสนอขายครั้งแรกและเริ่มลงทุนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เรามีมุมมองที่ดีต่อตลาดทุนของปี 2554 แม้จะยังมีความกังวลจากการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงกลางปี และปัญหาวิกฤติน้ำท่วม รวมถึงมีปัจจัยกดดันจากปัญหาหนี้ยุโรป แต่ด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะฟื้นตัว ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตน้ำท่วม  ส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อน้อยลงและเศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่อเนื่อง
          นอกจากนี้เรามีวิธีการคัดเลือกหุ้นโดยพิจารณาจาก หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีราคาที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนได้ตามความเหมาะสมของภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ และเศรษฐกิจที่ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเป็น ตัวสนับสนุนซึ่งส่งผลให้
          กองทุนนี้ได้รับผลตอบแทนเป็นไปตามเป้าหมายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี
          "ขอขอบคุณสำหรับนักลงทุนที่ให้การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อการลงทุนกับบลจ.ยูโอบี (ไทย) จำกัด และเรายังคงติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสสำหรับการนำเสนอกองทุนประเภทที่มีเป้าหมายลักษณะนี้อีกต่อไป" นายวนา กล่าว


วรรณแนะลงทุนกองอสังหาฯหนีหุ้นผันผวน

Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (Th)

          บลจ.วรรณแนะลงทุนกองทุนเปิด ONE-PROP และ ONEPROP-SG ตอบโจทย์การลงทุน ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน
          นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับตัวขึ้นมาแรงอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีการปรับฐานนั้น นักลงทุนควรจะระมัดระวังเพราะหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ จะทำให้ตลาดหุ้นพร้อมที่จะปรับตัวลดลงได้ตลอดเวลา จากแรงเทขายทำกำไร
          ทั้งนี้ สำหรับในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก บลจ.วรรณ ขอแนะนำให้ลดความเสี่ยงลงโดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ running yield ที่ค่อนข้างสูงกว่าพันธบัตร อาทิเช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เช่น กองทุนเปิด วรรณ พร็อพเพอร์ตี้ พลัส ฟันด์ (ONE-PROP) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือกองทุนเปิด วรรณ พร็อพเพอร์ตี้ สิงค์โปร์ (ONEPROP-SG) ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยจะเน้นลงทุนใน Philip Singapore Real Estate Income Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยทั้งสองกองทุนนี้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงถึง 7% ต่อปีและผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ จากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ปีละไม่เกิน 4 ครั้ง อีกด้วย
          เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 55 บลจ. วรรณ ได้ทำการ Auto redemption หน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ONE-PROP จากจำนวนเงินที่จัดสรรจากเงินสดรับที่ได้จากเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในอัตราร้อยละ 1.75 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของลูกค้าแต่ละราย และผู้ลงทุนได้รับเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในวันที่ 26 มี.ค. 55 สำหรับกองทุนเปิด ONEPROP-SG บลจ.วรรณ จะทำการ Auto redemption หน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ONEPROP-SG จากจำนวนเงินที่จัดสรรจากเงินสดรับที่ได้จากเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในอัตราร้อยละ 3.50 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของลูกค้าแต่ละราย โดยใช้ราคา ณ วันที่ 28 มี.ค.55 และผู้ลงทุนจะได้รับเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในวันที่ 4 เม.ย. 55 โดยทั้งสองกองทุน ผู้จัดการกองทุนมีเป้าหมายที่จะบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละประมาณ 7% โดยจะมีการทำ Auto redemption ไม่เกินปีละ 4 ครั้ง
          การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นับเป็นทาง เลือกที่มีความน่าสนใจ และให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวมตราสารหนี้หรือกองทุน รวมหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน โดยกองทุน ONE-PROP มีมูลค?หน?วยลงทุนเท่ากับ 14.2020 บาท และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,882.94 ล้านบาท (27 มี.ค. 55) และกองทุน ONEPROP-SG มีมูลค?หน?วยลงทุนเท่ากับ 10.6168 บาท และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 32.97 ล้านบาท (23 มี.ค. 55)


2บลจ.ตบเท้าคลอดกองทุนบอนด์ หวังดึงลูกค้าแข่งเดือดผลตอบแทน
Source - ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          2 บลจ. เครือแบงก์ เข็นกองทุนบอนด์ในประเทศและต่างประเทศรับดีมานด์ คลอดรวดเดียว 3 กองทุน บลจ. บัวหลวงเข็นบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/12” อายุ 6 เดือน ชูผลตอบแทนประมาณการที่ 3.1% เริ่มไอพีโอแล้ว ถึง 3 เมษายน นี้ ด้าน บลจ.ธนชาต ดัน "ธนชาต Fixed Income 13 และธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y7" อายุ 6 เดือน 12 เดือนตามลำดับ ชูผลตอบแทน 3.35% และ 4% เริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 2 เมษายน นี้
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/12 หรือ BUALUANG FIXED INCOME - TERM FUND 13/12 (B-FIXTERM13/12) ซึ่งมีอายุประมาณ 6 เดือน ให้ผล ตอบแทนประมาณการที่ 3.1% ต่อปี โดยเริ่มไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 6 มีนาคม 2555
          สำหรับกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/12 จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ และต่างประเทศ โดยส่วนที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศ กองทุนจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลัง กองทุน ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ออก ผู้รับรอง เป็นต้น
          ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ ตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน รวมถึงภาคเอกชน ที่เสนอขายในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับ ณ วันที่ลงทุน ในระดับ INVESTMENT GRADE
          ทั้งนี้กองทุน B-FIXTERM13/12 จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐประมาณ 11% เงินฝาก และตราสารสารสถาบันการเงินในประเทศอีก 24% เงินฝาก และตราสารหนี้สารหนี้ที่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ 40% ตราสารหนี้ภาคเอกชน 24% และเงินฝากอีก 1%
          โดยกองทุนดังกล่าวเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศและตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเลือกการลงทุนในตราสารหนี้ของกิจการที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพในการให้ ผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตามเงินลงทุนที่จะนำมาลงทุนกองทันนี้ควรเป็นเงินส่วนที่สามารถได้ ตามอายุกองทุน
          ด้าน บลจ. ธนชาต เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังเปิดกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 13 และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y7 ซึ่งทั้ง 2 กองทุนเริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 2 เมษายน นี้
          สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 13 อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 3.35% โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank/ ธนาคาร First Gulf Bank 20% เงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China 20% ตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย Banco do Brazil/Banco ltau BBA S.A. 20% ตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย Emirates NBD/Suhyup Bank 19% ตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา /ธนาคารกรุงไทย 20.90% และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ อีก 0.10%
          ขณะที่กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y7 อายุ 12 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 4% โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank/ ธนาคาร First Gulf Bank 22% เงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China 22% ตราสารหนี้ ที่ออกโดย Banco do Brazil 24% ตราสารหนี้ ที่ออกโดย Bank of East Asia/Suhyup Bank 7.9% ตราสารหนี้ ที่ออกโดย Banco ltau BBA S.A. 24% และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ อีก 0.10%


กองฟิวเจอร์ฯเพิ่มทุน 1,500ล้านภายในไตรมาส2-3นี้ เดินหน้ายืดอายุกองทุนเป็น30ปี

Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          FUTUREPF เร่งเพิ่มทุน 1,500 ล้านบาท ภายในไตรมาส 2-3 นี้ ก่อนถูกบอนไซ พร้อมขยายอายุกองทุนเป็น 30 ปี คาดรายได้ทั้งปีเติบโต20%
          นายรณยุทธ์ สิริโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการ สายการเงิน บริษัท รังสิตพลาซ่าและในฐานะกรรมการบริหารกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF) กล่าวว่า มีแผนที่จะเพิ่มทุนอีก 1,500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (เอ็นเอวี)5,151 ล้านบาท โดยนำไปลงทุนในสิทธิการเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต อีกประมาณ 3,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะสามารถเรียกประชุมผู้ถือหน่วยเพื่อขออนุมัติภายในไตรมาส2-3 นี้
          นอกจากนี้ กองทุนยังขยายระยะเวลาสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก 15 ปี ทำให้อายุกองทุนขยายออกไปเป็น30 ปี
          "ส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้องเพิ่มทุน คือ หากกฎเกณฑ์กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มีผลบังคับใช้ จะไม่สามารถเพิ่มทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อีก และการขยายอายุกองทุนจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกองทุน" นายรณยุทธ์ กล่าว
          สำหรับผลการดำเนินงานกองทุนปี2555 นายรณยุทธ์คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากปีก่อน ที่เท่ากับ680 ล้านบาท ขณะที่อัตราค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.5-4% จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น3% จากปีก่อนที่มีผู้ใช้บริการ 1.51 แสนคนต่อวัน อัตราการใช้พื้นที่ให้เช่าของศูนย์การค้าจะรักษาให้อยู่ในระดับ 97-98% และคาดว่าในอนาคตจะสามารถรักษาอัตราจ่ายปันผลไว้ในระดับ 10%
          "ในไตรมาส 1 ปีนี้จะมี รายได้ที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากการเคลมประกันที่เกิดจากความเสียหายจาก เหตุการณ์น้ำท่วม 45.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยมากขึ้นอีก 0.10 บาท" นายรณยุทธ์ กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น