วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 27-01-2012

·        สมาคมบลจ.ฟันธงกองทุนสดใส หวัง10ปีสินทรัพย์แตะ3ล้านล้าน ธน
·        ธชาตชี้3ปัจจัยกดดอกเบี้ย ชงกองทุน6เดือนรับยิลด์3.2%
·        ฟันด์โฟลว์แห่เข้าไทย ปัญหากรีซคลี่คลาย เผย 5 หุ้นเด่นทำกำไรระยะยาว
·        อัตราเงินเฟออินเดียชะลอตัวลง UOBชี้ส่งสัญญาณกลับเข้าซื้อหุ้น


สมาคมบลจ.ฟันธงกองทุนสดใส หวัง10ปีสินทรัพย์แตะ3ล้านล้าน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          สมาคม บลจ.มั่นใจอุตสาหกรรมกองทุนรวมมีโอกาสเติบโตอีกมาก หวัง 10 ปี สินทรัพย์แตะ 3 ล้าน ล้านบาท วอนทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ประชาชนเรื่องการออม-การลงทุนมาก ขึ้น ชี้กองหุ้นไทยโตด้วยกองทุนประหยัดภาษี หวังรัฐคงประโยชน์กอง LTF ถึงปี 59 ระบุแชมป์กองหุ้นปี 54 เน้นลงทุนใน หุ้นใหญ่-เน้นคุณค่า เลือกหุ้นดีแล้วถือยาวเป็นหลัก
          นายสถาปนะ เลี้ยวประไพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า หากมองโอกาสการเติบโตของธุรกิจและโอกาสในการขยายฐานของผู้ลงทุนของธุรกิจกอง ทุนรวมนั้นถือว่ายังมี หากให้อุตสาหกรรมโตเฉลี่ยปีละ 3% ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาทได้ โดยในปี 2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจกองทุนรวมมีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.08 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.48% จากสิ้นปี 2553 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20.39% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีจำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2.72 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 10.57% จากสิ้นปี 2553
          เขากล่าวต่อว่า หากเทียบเคียงกับบัญชีเงินฝากที่มีเงินมากกว่า 1 ล้านบาท ก็จะมีประมาณ 2 ล้านบัญชี จากทั้งหมดประมาณ 70 ล้านบัญชี ก็เชื่อว่ากลุ่มผู้มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทนี้ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนรวมเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของตลาดแรงงานในปัจจุบันมีประมาณ 38 ล้านคน ในกลุ่มคนทำงานที่มีเงินออมที่สามารถจะลงทุนได้น่าจะมีประมาณ 10 ล้านคน
          ดังนั้นโอกาสตรงนี้ก็ยังมีอีก เพียงแต่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันให้ความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้คนเหล่านี้อ่านออกเขียนได้ทางการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตัวของธุรกิจติดตามมาในอนาคตด้วยเช่นกัน
          ทั้งนี้ ธุรกิจกองทุนรวมของไทยจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ประมาณ60%และตราสารทุน22%ต่างจากในประเทศสหรัฐหรือประเทศที่พัฒนาแล้วที่สัดส่วนดังกล่าวจะตรงข้ามกันโดยในต่างประเทศจะมีสัดส่วนกองทุนตราสารหนี้30-40%และเป็นกองทุนหุ้น60%
          ไทยต้องยอมรับว่ากองทุนหุ้นเติบโต ซึ่งเติบโตจากแอลเอฟที และอาร์เอ็มเอฟ ที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก        
          นายพีร์ ยงวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บจ.มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี 2554 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักลงทุนที่เข้าไปดูข้อมูลผ่านเว็บไซต์ morningstarthailand.com เพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านครั้ง จากในปี 2553 ที่ประมาณ 5 แสนครั้ง หรือเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ส่วนในปีนี้ บริษัทก็คาดหวังให้นักลงทุนมีการเข้ามาใช้ข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่พฤติกรรมการใช้ของนักลงทุนไทยจะเข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลลงทุนของกองทุนประหยัดภาษี
          ดังนั้นแสดงว่านักลงทุน ยังมีพฤติกรรมเข้าลงทุนครั้งเดียวในช่วงปลายปี หากเข้าลงทุนผิดจังหวะ ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน เพราะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนค่อนข้างสูง การเฉลี่ยลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีกว่าสำหรับ นักลงทุน บริษัทจึงพยายามผลักดันให้นักลงทุนใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Star Rating การลงทุนระยะยาว การดูข้อมูลค่าใช้จ่ายประกอบการตัดสินใจลงทุน เป็นต้น
          ในอนาคตบริษัทอาจจัดเรทติ้งให้ดาวกับผู้จัดการ กองทุนที่บริหารกองทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ได้พูดคุยกับทางมอร์นิ่งสตาร์ภูมิภาคว่าจะทำได้หรือไม่ ใช้กระบวนการไหน เพราะในเอเชียการบริหารมักจะเป็นทีมใช้คณะกรรมการเป็นหลัก ต่างกับทางฝั่งตะวันตกที่จะใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้จัดการกองทุนไปเลย ทำให้การจัดเรทติ้งผู้จัดการกองทุนในฝั่งตะวันตกทำได้ แต่วัฒนธรรมในฝั่งเอเชียต่างกันออกไป หากจะทำคงต้องหากระบวนการที่จะใช้วัดผลงานผู้จัดการกองทุนขึ้นมาให้เหมาะสม กับรูปแบบในการบริหารด้วยเช่นกัน
          นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์ข้อมูล บจ.มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปี 2554 ที่ผ่านมา กองทุนหุ้นที่มีผลงานดีสุด 10 อันดับแรก ซึ่งเป็นของ บลจ.บัวหลวง 8 กองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี 1 กองทุน และ บลจ.ยูโอบี (ไทย) 1 กอง ทุน จะมีสไตล์การบริหารที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่แบบเน้นคุณค่า โดยเป็นลักษณะของการเลือกหุ้นที่ดีแล้ว ถือว่าไม่ค่อยเทรดเท่าไร เพราะตัวเลขของ Turn Over Ratio เฉลี่ยของกองหุ้นทั้งหมดอยู่ที่ 401.51% แต่กองหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดส่วนใหญ่จะมี Turn Over ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
          กลุ่มอุตสาหกรรมที่กองทุนที่มีผลงานดีสุดในปี 2554 เลือกลงทุน ได้แก่ 1. สถาบันการเงิน 29.5% 2. สินค้าอุปโภคบริโภค 21.0% 3. สื่อสาร 10.5% 4. พลังงาน 10.0% และ 5. วัสดุก่อสร้าง 8.8%
          ส่วนหุ้น 5 หลักทรัพย์ที่กองทุนที่มีผลงานดีสุดถือ ประกอบด้วย 1. บริษัท ซีพี ออลล์ 8.92% 2. ธนาคารกรุงเทพ 8.82% 3.บริษัท ปตท. 6.17% 4. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 6.10% และ 5.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 5.47%
          ส่วนตัวมองว่า หากมีการยกเลิกประโยชน์ทางภาษีกองทุน LTF นักลงทุนที่เคยลงทุนอยู่เดิมก็คงไม่ไปลงทุนผ่านกองทุน RMF เพราะมีเงื่อนไขการลงทุนที่นานและระยะเวลาการลงทุนนาน และส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทุน LTF โตได้ เพราะนักลงทุนไทยชอบอะไรที่ชัวร์ เมื่อลงทุนแล้วรู้แน่นอนว่าตัวเองได้ประโยชน์ทางภาษีแล้วแน่นอน 10-37% ตามฐานภาษี ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนอื่นค่อยไปลุ้นกันอีกที แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ทางภาษีแล้วจะให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นคงไม่ง่าย เพราะหุ้นมีความผันผวนลงทุนแล้วจะได้เท่าไรก็ไม่รู้ นักลงทุนไทยไม่ชอบ


ธนชาตชี้3ปัจจัยกดดอกเบี้ยชงกองทุน6เดือนรับยิลด์3.2%
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ. ธนชาต ชี้ 3 ปัจจัยกดดอกเบี้ยลง สอดรับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศหลังน้ำท่วม ล่าสุด ส่งกองทุน 6 เดือนรองรับเงินนักลงทุน เน้นลงทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ เสนอขายถึง 30 มกราคมนี้
          นายวิศิษฐ์ ชื่นรัตนกุล ผู้จัดการกองทุนอาวุโส กองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยในช่วงครึ่งปีแรกพบว่ายังไม่มีแนว โน้มจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังจำเป็นต้องอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะ เพื่อให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังภาวะ น้ำท่วมไม่สะดุดลง และยังช่วยลดแรงกดดันไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป
          ประการที่สอง คือ อัตราดอกเบี้ยสำคัญๆ ของโลกยังมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง โดยเฉพาะดอกเบี้ยของประเทศในแถบเอเชีย หลังจากที่เราเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น จึงยังไม่มีแรงกดดันจากต่างประเทศมากดดันให้ดอกเบี้ยไทยต้องปรับเพิ่มขึ้น
          ประการสุดท้าย เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงในปีนี้ จากปัญหาหนี้ในยุโรปและการรัดเข็มขัดของทางการจีน และข้อจำกัดในการเบิกจ่ายงบประมาณในประเทศ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย การใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำก็จะเข้ามาช่วยดูแลความเสี่ยงดังกล่าวได้
          ทั้งนี้ บลจ.ธนชาตเห็นโอกาสที่ผู้ลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทน ที่ดีได้ ในระหว่างที่อัตราดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มที่จะไม่เพิ่มขึ้นนี้ จึงเสนอขายกองทุนเปิดธนชาต  F i x e d Income 7 (TFixedIncome7) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.2% ต่อปี ตั้งเป้าลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน A rab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank/ธนาคาร First Gulf Ban k ประมาณ 22% ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China ประมาณ 22% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ธนาคาร ICBC (Asia)/ธนาคาร Shinhan Bank ประมาณ 20%
          นอกจากนี้ ยังลงทุนในตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้/บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์/บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ประมาณ 18% ลงทุนในตั๋วแลกเงิน บจ.น้ำตาลมิตรผล/บจ.โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย)/ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) ประมาณ 17.90% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศประมาณ 0.10% ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 3.5139% ต่อปี โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.3139% ต่อปี ทั้งนี้ กองทุนจะเสนอขายครั้งเดียววันที่ 26-30 มกราคม 2555
          ทั้งนี้ บลจ.ธนชาตคาดการณ์แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปี 2555 ในระยะแรก คาดว่ายังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่น่าจะทรง ตัว หรืออาจปรับลดลงได้อีก หากมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในระยะถัดไป คาดว่าตลาดตราสารหนี้อาจจะกลับมาผันผวน เนื่องจากภาระทาง การคลังจากนโยบายของรัฐมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าคาด และหากการจัดเก็บภาษีได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้มีความเสี่ยงที่ปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกใหม่ในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ.2555 น่าจะสูงกว่าที่ประเมินกันไว้ก่อนหน้า



ฟันด์โฟลว์แห่เข้าไทย ปัญหากรีซคลี่คลาย
Source - ข่าวหุ้น (Th)

          นักลงทุนต่างชาติขนเงินเข้าไทย ลุยเก็บหุ้นขนาดใหญ่รับปันผล ดันดัชนีเพิ่ม 12 จุด วอลุ่มทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาท หลังปัญหากรีซเริ่มคลี่คลาย ด้านสมาคมบริษัทจัดการลงทุนเผย 5 หุ้นเด่น เก็บทำกำไรระยาว CPALL-BBL-PPT-ADVANC และ ROBINS
          รายงานล่าสุดแจ้งว่า เจ้าหนี้ภาคเอกชนของกรีซ  ต้องการหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้จึงพิจารณาที่จะลดผลตอบแทนของพันธบัตรลงเหลือ 3.75% จากเดิม 4% เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันเวลา ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า
          ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน จากแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศสุทธิ   496 ล้านบาท มาปิดที่ 1,068.54 จุด เพิ่มขึ้น 12.53 จุด หรือ 1.19% มูลค่าการซื้อขาย 2.5 หมื่นล้านบาท
          ด้านนักวิเคราะห์มองว่า จากปัญหาต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะกรีซเริ่มคลี่คลาย รวมทั้งการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพ  และการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย  ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์เริ่มไหลเข้ามาวานนี้ค่อนข้างขัดเจน โดยเข้ามาเก็บหุ้นขนาดใหญ่ที่กำลังจะจ่ายปันผลในช่วงไตรมาสแรก
          นายสถาปนะ เลี้ยวประไพ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC เปิดเผยว่า หลักทรัพย์เด่นที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เลือกลงทุนเพื่อทำกำไรในระยาว ประกอบด้วย หุ้น CPALL สัดส่วนการลงทุนสูงถึง 8.92% ของพอร์ตลงทุน หุ้น BBL 8.82% หุ้น PPT 6.17% หุ้น ADVANC 6.10% และหุ้น ROBINS 5.47% โดยเฉพาะกองทุนระดับ 5 ดาวที่มีผลตอบแทนในระดับสูง ทั้งนี้ จะเห็นได้หลักทรัพย์ดังกล่าวมีแนวโน้มในการทำกำไรในระยะยาวค่อนข้างดีมาก จนกองทุนต่างก็เลือกเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลตอบแทนกองทุนเติบโตดี
          สำหรับทิศทางการลงทุนช่วงปีนี้ เชื่อว่ายังคงเป็นปีที่มีความผันผวนต่อเนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นยังคงรอการแก้ไขและความชัดเจน โดยน้ำหนักส่วนใหญ่ยังเทไปที่การแก้ปัญหาหนี้ยุโรป และราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้นจากความกังวลล่าสุดต่อสถานการณ์ในอิหร่านและ เกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นเช่นกัน
          ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง ยังไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญในการดึงฐานนักลงทุนระหว่างธนาคารพาณิชย์กับ บลจ. เมื่อเทียบกับโอกาสการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหากมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว แน่นอนว่านักลงทุนเกิดความกังวลและหันไปลงทุนส่วนอื่นแทน และการลงทุนในกองทุนก็ยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่นักลงทุนสนใจ
          อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวคิดยกเลิกสิทธิทางภาษีสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF และ RMF ก่อนกำหนดในปี 2559 นั้น มองว่า เป็นแนวคิดที่ไม่ค่อยเอื้อต่อการกระตุ้นตลาดทุนไทยโตนัก จะเห็นได้ว่าการมีสิทธิประโยชน์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนหันมาสนใจเข้ามาลง ทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯมากขึ้นกว่าเดิม และหากมีการยกเลิกแนวทางดังกล่าวจริงผลกระทบย่อมเกิดขึ้นแน่ ดังนั้น การเลิกสิทธิทางภาษีให้เป็นไปตามกำหนดเดิมน่าจะดีที่สุด
          นายสถาปนะ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนในอุตสาหกรรม พบว่า  ทองคำเป็นกลุ่มกองทุนที่โดดเด่นที่สุดที่สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 17.86% แม้ว่าจะมีความผันผวนอย่างมากก็ตาม ส่วนทิศทางราคาทองคำในปีนี้ เชื่อว่า มีความผันผวนและการปรับขึ้นของราคาจะไม่หวือหวาเท่าช่วงปีที่ผ่านมา  ขณะที่กองทุนหุ้นในประเทศทั้งกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลางและเล็กถือว่าทรงตัว ส่วนที่ติดลบอย่างหนักจะเป็นกลุ่ม Emerging Market Equity และกลุ่ม Asian Pacific ex Japan ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาหนี้ในยุโรป
          สำหรับอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยในช่วงปีที่ผ่าน มา ถือว่าช่วงปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมกองทุนเติบโตน้อยและค่อนข้างซบเซาเมื่อ เทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมามีการเติบโตเพียง 50,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2%
          ทั้งนี้ เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ทั้งสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น ที่สำคัญที่สุด คือ การที่สถาบันการเงินต่างๆแข่งขันที่เกิดขึ้นเมื่อมาตรการรับประกันเงินฝาก แบบใหม่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการในช่วงกลางปีนี้
          อย่างไรก็ตาม แม้การเติบโตของกองทุนโตไม่มากในแง่ของมูลค่าทรัพย์สิน แต่ถ้ามองกันในแง่ของผลิตภัณฑ์นั้นต้องถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดย บลจ. ทุกที่ต่างแข่งขันกันออกสินค้าใหม่ๆ มาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน และที่โดดเด่นที่สุดคือ กองทุนทองคำ ETF ที่นักลงทุนสามารถซื้อขายและทราบราคาทองคำได้แบบเรียลไทม์
          นอกจากนี้ ยังมีกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น และ Sector Fund ออกมาให้เป็นทางเลือกเช่นกัน และในปีนี้อุตสาหกรรมจะมี บลจ. ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง คือ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และบลจ.ทองคำ แอสเซท

อัตราเงินเฟออินเดียชะลอตัวลง UOBชี้ส่งสัญญาณกลับเข้าซื้อหุ้น
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          จีนอนุมัติสถาบันต่างชาติเข้าซื้อหุ้นบอนด์หวัง ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ด้านเงินเฟ้อในอินเดียชะลอตัวลง ส่งสัญญาณดีในการกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นอินเดีย
          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ.ยูโอบี จำกัด รายงานภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศว่า จีนอนุมัติสถาบันต่างชาติรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าซื้อหุ้นและบอนด์ โดยจีนได้อนุมัติให้สถาบันต่างชาติ 14 แห่ง เข้าลงทุนในตลาดทุนของจีนโดยเพิ่มจำนวนใบขณะเดียวกันจีนมีแผนผ่อนปรนกฎการจด ทะเบียนในต่างประเทศสำหรับบริษัทจีน โดยนายเหยา กัง รองประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน (CSRC) เปิดเผยว่า จีนมีแผนจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมการจดทะเบียนในต่างประเทศสำหรับบริษัทจีน และจะผลักดันการขายหุ้นสกุลเงินหยวนในตลาดเงินหยวนในฮ่องกง ซึ่งการแก้ไขกฎระเบียบการจดทะเบียนในต่างประเทศในปีนี้เพื่อทำให้ขั้นตอน ง่ายขึ้น และลดอุปสรรคต่างๆ ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขที่ดีสำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งบริษัทเอกชนของจีนที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และยังกล่าวอีกว่าจะมีการขยายโครงการที่ทำให้นักลงทุนสามารถย้ายเงินลงทุน เข้าและออกจากตลาดทุนจีนได้ ด้วยการเพิ่มเพดานปัจจุบันภายใต้โครงการนี้
          ส่วนประเทศอินเดีย เงินเฟ้อที่ชะลอตัวในอินเดียน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการกลับเข้าไปลงทุนใน ตลาดหุ้นอินเดียโดยมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางของอินเดียจะปรับอัตราการขยายตัว ดอกเบี้ยลงภายหลังที่เงินเฟ้ออ่อนตัวลงต่ำกว่า 7% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
          ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองตัวเลขผู้ขอสวัสดิการการว่างงาน และภาคการผลิตขยายตัวบ่งชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัว ต่อเนื่องจำนวนชาวสหรัฐฯ ที่ขอสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตในแถบมิดแอตแลนติกขยายตัวปานกลาง โดยตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องต่อไปในปีนี้
          ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงาน และตัวเลขภาคการผลิตถือเป็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดในระยะนี้ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 3% ต่อปี ในไตรมาส 4/2011 โดยปรับตัวขึ้นจาก 1.8% ในไตรมาส 3

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 11 มกราคม 2555

·        เอ็มเอฟซีขายกองตราสารหนี้ซื้อขายล่วงหน้ารับศักราชใหม่                              
·        บัวหลวงรับดีมานด์ปีมังกร เพิ่มทุนRMF-LTFรวมกว่า 25,000ล.
·        อเบอร์ดีนปลื้มยอดขายLTF-RMFพุ่ง1พันล้าน สูงสุดในรอบ 5 ปี
·        กรุงไทย กรุงศรี ธนชาต ควงแขนส่งกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเอาใจนักลงทุน
·        กรุงไทยชี้ปัญหาหนี้อียูเริ่มส่งสัญญาณบวก แต่ระวังหุ้น-บอนด์ทั่วโลกยังผันผวน
·         การเคหะแห่งชาติ วางใจ ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3 ปี
                   
'เอ็มเอฟซี'ขายกองตราสารหนี้ซื้อขายล่วงหน้า

Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          เอ็มเอฟซี ขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล สเปเชี่ยล โน้ต 6 เดือน หรือ MSN 6M อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เป็นกองทุนผสมลงทุน เงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
          นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า เอ็มเอฟซีเปิดศักราชใหม่ปี 2555 โดยขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สเปเชี่ยล โน้ต 6 เดือน (MSN 6M) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 13 ม.ค.นี้  
          โดยเป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่ลงทุนในตราสารทุน แต่จะลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เพื่อส่งเสริมการลงทุนของผู้สนใจ  ซึ่ง ผู้ลงทุนไม่ต้องเสียภาษีของผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนสำหรับบุคคลธรรมดา และเป็นการกระจายการลงทุนนอกเหนือไปจากการลงทุนในตราสารทุนในตลาดหลักทรัพย์
          กองทุนเปิด MSN 6M มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งจะลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลเฉพาะ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง  ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่เสนอขายทั้งในและต่างประเทศ
          โดยกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลก เปลี่ยนเต็มจำนวน และหลังครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุน เปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน

บลจ.บัวหลวงรับดีมานด์ปีมังกร เพิ่มทุนRMF-LTFรวมกว่า25,000ล.
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ. บัวหลวงประเดิมปีมังกรทองเพิ่มทุนกองทุน RMFLTF อีก 2 กอง "บัวหลวงระยะยาว และบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ" รวมกว่า25,000 ล้านบาท
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัดเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิดบัวหลวงระยะยาว (B-LTF)เป็น 15,000 ล้านบาท และกองทุนเปิดบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็น10,000 ล้านบาท
          ทั้งนี้กองทุนเปิดบัวหลวงระยะยาว ณวันที่ 9 มกราคม 2554 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 9,928.56 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 21.07 บาท โดยกองทุนให้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 30 ธันวาคม2554 ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 12.69% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 11.91% ย้อนหลัง6 เดือนที่ 8.35% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.23% และย้อนหลัง 1 ปีที่14.94% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่-0.72%
          ขณะเดียวกัน ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน2554 กองทุนได้เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน 14.42% กลุ่มธนาคารพาณิชย์17.83% กลุ่มขนส่งและลอจิสติกส์ 9.23%กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 6.30% กลุ่มสื่อสาร 7.64%และกลุ่มอื่นๆ อีก 36.93% นอกจากนี้แล้วกองทุนยังได้เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากอีก 2.33% และอื่นๆ อีก 5.32%รวมเป็น 100%
          นอกจากนี้ 5 อันดับแรกที่กองทุนได้เข้าไปลงทุนได้แก่ 1. บมจ. ซีพี ออลล์ 12.80%2. บมจ. ธนาคารกรุงเทพ 10.78% 3. บมจ.ท่าอากาศยานไทย  9.23% 4. บมจ. เบอร์ลี่ยุคเกอร์ 8.80% และบมจ. ปตท. อีก 7.70%
          ส่วนกองทุนเปิดบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (BFLRMF) ณ วันที่ 9 มกราคม 2554 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่5,117.12 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 33.79 บาท โดยกองทุนให้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 30 ธันวาคม2554 ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 11.59% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 6.95% ย้อนหลัง6 เดือนที่ 7.87% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.69% และย้อนหลัง 1 ปีที่14.43% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.60%
          ขณะเดียวกัน ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน2554 กองทุนได้เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน 13.73% กลุ่มธนาคารพาณิชย์17.22% กลุ่มขนส่งและลอจิสติกส์ 7.98%กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 5.61% กลุ่มสื่อสาร 5.02%และกลุ่มอื่นๆ อีก 33.17% นอกจากนี้แล้วกองทุนยังได้เข้าไปลงทุนในเงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงิน 0.38% พันธบัตรรัฐบาล/ธปท./ตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน 10.47% หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน 1.65% ตั๋วแลกเงิน 0.47% และอื่นๆอีก 4.30%
          นอกจากนี้ 5 อันดับแรกที่กองทุนได้เข้าไปลงทุนได้แก่ 1. บมจ. ซีพี ออลล์ 12.09%2. บมจ. ธนาคารกรุงเทพ 10.80% 3. บมจ.ท่าอากาศยานไทย  7.98% 4. บมจ. เบอร์ลี่ยุคเกอร์ 7.01% และบมจ. ปตท. อีก 7.63%
          ส่วน 4 อันดับแรกของตราสารหนี้เอกชนและอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารต่อบริษัทได้ แก่ 1. บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม อันดับ AAA ที่ 0.94%2. บมจ. ไทยออยล์ อันดับ AA- ที่ 0.48%3. บมจ.ธนาคารทหารไทย อันดับ A+ ที่ 0.47%และ 4. บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย)จำกัด อันดับ AAA ที่ 0.23%


อเบอร์ดีนปลื้มยอดขายLTF-RMFพุ่ง1พันล้าน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (Th)

          บลจ.อเบอร์ดีน ปลื้มยอดขายกองทุน LTF-RMF กว่า 1 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี
          ในช่วงปลายปี 2554 ที่ ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด มอบสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีและโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ในระยะยาว ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยอเบอร์ดีนนำเสนอ LTF และ RMF ทั้งหมด 4 กองทุนซึ่งประกอบไปด้วย LTF 1 กองทุน (กองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว (ABLTF)) และ RMF 3 กองทุน (กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSC-RMF) กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสมาร์ทอินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSI-RMF) และกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิค เอคควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABAPAC-RMF)) กองทุนดังกล่าวทั้งหมดนั้นถูกบริหารจัดการโดยผู้จัดการกอง ทุนมืออาชีพด้วยปรัชญาการลงทุนของ อเบอร์ดีน ที่ใช้กับทุกสำนักงานของ อเบอร์ดีน ทั่วโลก
          การบริหารงานและผลการดำเนินงานที่โดดเด่นดึงดูดความสนใจของนักลงทุนในการลงทุนผ่าน LTF และ RMF ส่งผลให้มียอดเงินลงทุนใน LTF และ RMF ทั้ง 4 กองทุน รวม 1,072 ล้านบาท ในปี 2554 สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ต้นปี 2550
          สำหรับกองทุน ABLTF และ ABSC-RMF ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน มีอัตราผลตอบแทน ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2554 ที่ดีเยี่ยมดังนี้


3 บลจ.เครือแบงก์ออกบอนด์สั้นชูผลตอบแทนจูงใจกว่าเงินฝาก
Source - สยามธุรกิจ (Th)

          บลจ.กรุงไทย บลจ.กรุงศรี และบลจ.ธนชาต ควงแขนส่งกองทุน ตราสารหนี้ระยะสั้นเอาใจนักลงทุน ประมาณการผลตอบแทนจูงใจกว่าฝากเงิน เปิดขายไอพีโอพร้อมกันตั้งแต่วันนี้ถึง 10 มกราคม 2555
          ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2555 โดย เฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกจะยังคงมีความผันผวน โดยเฉพาะจากวิกฤติหนี้สิน ในยุโรป ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ออกมาให้คำแนะนำ โดยให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งถือเป็น สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้เน้นที่ตราสารหนี้ระยะสั้นก่อน ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 55 คาดว่าดัชนีฯจะเคลื่อนไหวในกรอบ 900-1,200 จุด โดยมี P/E อยู่ที่ประมาณ 12 เท่า ใกล้เคียงปีก่อน ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างเร่งออกผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับกับความต้องการของนักลงทุน
          เริ่มจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด โดยนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้จะแกว่งตัวในระดับใกล้เคียง 3.00-3.05% สอดรับกับการคาดการณ์ของตลาดการเงิน ที่คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 3.25% ในการประชุมในวันที่ 25 มกราคมนี้ เพื่อให้มีผลชี้นำต่อสถาบันการเงินในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงิน กู้ยืม และเพื่อรองรับความเสี่ยงจากปัญหาต่อเนื่องผลกระทบของมหาอุทกภัยที่มีต่อการ เติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่จะกระทบต่อภาคการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ
          ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและตั๋วแลกเงิน ระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มจะลดลงได้อีก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 3 เดือน ในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะ 6 เดือน และ 1 ปี สะท้อนการคาดการณ์ของที่อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสจะปรับลดลงได้อีก ดังนั้น การฝากเงินระยะ 3 เดือน แม้จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะ 6 เดือน แต่จะเผชิญกับความเสี่ยงจากการได้รับผลตอบแทนที่ลดลงเมื่อจะมีการลงทุนใหม่หลังครบระยะเวลา 3 เดือน (Reinvestment Risk)
          นายสมชัย กล่าวต่อว่า บลจ.กำลังเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 24 (KTSUPB24 ) เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 10 มกราคม 2555 เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝาก ตราสารการเงินระยะสั้น ตั๋วแลกเงินบริษัทเอกชนไทย ในสัดส่วน 55% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
          ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำ First Gulf Bank (FGB) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 3 ในอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เงินฝากประจำ Union Nationl Bank (UNB) ซึ่งเป็นธนาคารที่ดำเนินกิจการในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือหุ้นใหญ่ โดยองค์กรเพื่อ การลงทุนของภาครัฐอาบูดาบี และเงินฝากประจำ Bank of China ซึ่งเป็นธนาคารภาครัฐถือหุ้นใหญ่โดย หน่วยงานเพื่อการลงทุนของรัฐบาลจีน สัดส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.40% ต่อปี
          นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 4 ( KTFIX6M4) ประเภท Roll Over ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 10 มกราคม 2554 อายุโครงการ 6 เดือน เป็นกองทุน ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐทั้ง 100% ผลตอบแทนประมาณการที่ 2.75% ต่อปี
          ด้านนายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี จำกัด กล่าว ว่า บริษัทเปิดรับศักราชใหม่ด้วยกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 3M3 (KFFIX3M3) เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนรวมทั้งฐานลูกค้าของกลุ่มกรุงศรี ให้สามารถใช้บริการทาง การเงินของกลุ่มกรุงศรีได้มากยิ่งขึ้นโดยกองทุนตราสารหนี้เป็นทางเลือก สำหรับการกระจายการลงทุนเพื่อรองรับมาตรการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากของ สถาบัน การเงินเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคนต่อสถาบันการเงินที่จะมีผลในวันที่ 11 ส.ค. 55 นี้ บลจ.กรุงศรี ยึดมั่นการคัดเลือกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ การจัดสัดส่วนการลงทุนมีการกระจายความเสี่ยง เพื่อให้กองทุนภายใต้การบริหารจัดการสร้างผลตอบแทนที่ดีภายใต้ความเสี่ยงที่ เหมาะสม สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่มีกำหนดครบอายุทาง บลจ.กรุงศรี จะมีการเสนอขายกองทุนใหม่ทุกสัปดาห์ตลอดปี 2555
          สำหรับกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 3M3 (KFFIX3M3) อายุโครงการประมาณ 3 เดือน เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย สัดส่วนการลงทุน 56% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 24 % และเงินฝากธนาคาร Bank of China สัดส่วนการลงทุน 20% โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3% ต่อปี
          “กองทุนดังกล่าวเหมาะสมกับนักลงทุนที่มองหาการลง ทุนระยะสั้นและมีความเสี่ยงต่ำคาดว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนัก ลงทุน เนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และกองทุนดังกล่าวมีการกระจายการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ที่ มีคุณภาพที่ออกโดยสถาบันการเงินชั้นนำของต่างประเทศนายฉัตรพี กล่าว
          รายงานข่าวจากบลจ. ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เปิดไอพีโอกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 5 อายุในการลงทุนประมาณ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 3.4% ทั้งนี้กองทุนมีขนาดการลงทุนที่ 3,000 ล้าน บาท นักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำได้ 1,000 บาท เริ่มเปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 9 มกราคม 2555
          ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะเข้าไปลงทุน ในเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Union National Bank ในสัดส่วน 20.50%, เงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร First Gulf Bank ในสัดส่วน 24%, พันธบัตรธนาคาร แห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 7.4%, ตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเชียนพร็อพเพอร์ตี้/บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์/บมจ.ศุภาลัย/บมจ. น้ำตาลมิตรผล 24%, ตั๋วแลกเงิน บมจ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส 24%, เงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ 0.1%


ปัญหาหนี้อียูเริ่มส่งสัญญาณบวก แต่ระวังหุ้น-บอนด์ทั่วโลกยังผันผวน

Source - ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          ฝ่ายวิจัยบลจ.กรุงไทย ประเมิน ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น และตราสารหนี้ทั่วโลกยังผันผวนต่อ แนะนักลงทุนจับตาการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป พร้อมมองเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายได้ประมาณ 4.5% จับตากนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ขณะที่บล.เอเชียพลัส มองการแก้ปัญหาEU เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น
          รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด ( มหาชน) มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากที่ปัญหาน้ำท่วมได้คลี่คลายลง ประชาชนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอย การบูรณะซ่อมแซมเริ่มต้นขึ้น ซึ่งนับเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 แต่ความรุนแรงของปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นซึ่งสร้างความเสีย หายเป็นวงกว้างน่าจะกดดันเศรษฐกิจไทยหลักจากแรงกระตุ้นจากการบูรณะซ่อมแซม อ่อนแรงลงไป
          โดยรวมแล้วคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2555 น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 4.5% แต่จากเศรษฐกิจที่โดย รวมแล้วยังอ่อนแอและแนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลงน่าจะทำให้กนง.มีพื้นที่ในการลด ดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งหนึ่งในการประชุมวันที่ 25 มกราคม นี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นและคาดว่า กนง.น่าจะหยุดการปรับดอกเบี้ยในรอบนี้ไว้เพียงเท่านี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3.0% ในถึงช่วงครึ่งปี แต่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงท้ายปี 2555 เพื่อให้ดอกเบี้ยกลับเข้าสู่ระดับปกติและเพื่อให้สอด คล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่น่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีอันเป็นผลจากหลาย นโยบายของรัฐบาล
          สำหรับแนวโน้มการลงทุนในเดือนมกราคม ฝ่ายวิจัยคาดว่าดัชนีฯแกว่งตัวอยู่ในกรอบเดิมและจะขึ้นไปทอดสอบที่บริเวณ 1,050 จุดอีกครั้ง ซึ่งจะผ่านได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของปัจจัยต่างๆที่ยังต้องติดตาม ได้แก่ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้ของกลุ่ม EU ซึ่งต้องจับตาดูการประมูลพันธบัตรของประเทศต่างๆและการ ประชุมร่วมกันระหว่างประธานาธิบดีฝรั่งเศส โดยผู้นำทั้งสองจะเจรจาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่ในการคุมเข้มวินัยด้านงบประมาณ ในกลุ่ม EU รวมถึงการประชุมของ 27 ชาติสมาชิกอียูในวันที่ 23 มกราคม และการประชุมสุดยอดผู้นำ EU ในวันที่ 30 มกราคมนี้
          นอกจากนี้ยังมีความกังวลต่อประเทศฝรั่งเศสที่อาจจะถูก S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือลงรวมถึงอีก 6 ประเทศใน Eurozone อย่างไรก็ตามจะมีการเกร็งกำไรในหุ้น รายกลุ่มตามราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากควาวเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในประเด็น ของอิหร่านและการคาดการณ์การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหลังน้ำลดเพื่อการฟื้นฟูจาก ผลกระทบที่เกิดจากภาวะน้ำท่วม รวมถึงปัจจัยบวกจากนโยบายที่ผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง
          ฝ่ายวิจัยบลจ.กรุงไทย ระบุต่อว่า แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในเดือนนี้น่าจะมีความผันผวนในกรอบแคบๆ โดยอาจจะเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงต้นเดือนจากแรงเทขายทำกำไร แต่ยังน่าจะปรับลดลงในช่วงใกล้การประชุมกนง.ในวันที่ 25 มกราคม จากการคาดการณ์ว่า กนง.จะปรับลดอกเบี้ยอีกครั้ง อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องติดตามเหตุการณ์ในยุโรปอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา หรือผลการประมูลพันธรัฐบาลประเทศต่างๆซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทาง การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก
          สำหรับสถานการณ์ราคาทองคำนั้น ความกังวลต่อสถานการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปยังจะเป็นปัจจัยที่กระทบการลงทุนใน ตลาดการเงินโลก ซึ่งรวมถึงตลาดทองคำด้วย ความกังวลที่รุนแรงขึ้นจะทำให้นักลงทุนลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและหันมา ถือสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งรวมถึงทองคำด้วย
          นอกจากนี้ความตรึงเครียดระหว่างอิหร่านและประเทศ อื่นๆและเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนราคาทองคำใน ช่วงเดือนนี้ด้วย อย่างไรก็ตามการที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนอาจให้น้ำหนักกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยน้อยลง อีกทั้งการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่น่าจะได้รับประโยชน์จากปัญหาหนี้สาธารณะยุโรปน่าจะจำกัด Upside ของราคาทองคำในเดือนนี้
          ยุโรปเริ่มมีทางออก
          ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุดของยุโรป ทางฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในการประชุมของผู้นำยุโรป คือ เยอรมันและฝรั่งเศส ได้ก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง โดยเตรียมจะกำหนดกรอบการดำเนินการนโยบายการคลังใหม่(budget rulebook) ซึ่งจะประกาศใน 30 ม.ค. นี้ พร้อมกับเตรียมเร่งที่จะเรียกเงินจากประเทศสมาชิกเข้ากองทุน (ราว 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) ในกลางปี 2555 ตามที่ได้ตกลงกันเมื่อ ธ.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อช่วยระงับปัญหาวิกฤติการเงินในยุโรปมิให้บานปลาย ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปลายไตรมาสแรกของปี 2555 การเคลื่อนไหวเหล่านี้ถือว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุน นอกจากที่
          ก่อนหน้านี้ประเทศผู้นำเศรษฐกิจชั้นนำของโลก พร้อมใจกันที่จะอัดฉีดเงินให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกยุโรปที่ประสบ ปัญหาขาดสภาพคล่อง แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันระยะสั้นยังมีอยู่ใน 2 ประเด็น
          นอกเหนือจากปัญหาการเมื่อที่ใกล้เลือกตั้งใน 2 ประเทศผู้นำแล้วคือ 1. ท่าทีของ กรีซ ต่อแผนการอยู่ในกลุ่มยุโรปต่อไป พร้อมตัดลดงบประมาณให้สอดคล้องกับข้อเสนอของเจ้าหนี้ที่ให้ debt haircut 50% ตามเงื่อนไขในการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินรอบ 2 วงเงิน 159 พันล้านเหรียญยูโร ขณะที่วงเงินช่วยเหลือรอบแรก 110พันล้านเหรียญยูโรของรับไปแล้ว 7 ครั้งเป็นเงิน 50 พันล้านเหรียญฯยูโร ของกรีซ และ 2.การ Refinance หุ้นกู้ของประเทศสมาชิกในสภาพยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี ที่ใกล้ครบกำหนด
          โดยคาดว่าจะมีการออกหุน้ กู้ชุดใหม่ในวงเงิน 12 พันล้านเหรียญยูโร เป็นพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่ตลาดคาดว่าอัตราผลตอบแทนอาจพุ่งขึ้นอีก 0.03% เป็น 7.16% เช่นเดียวกับสเปน ที่คาดว่าจะมีการออกพันธบัตรอายุ 3-4ปี ผลตอบแทน(yield curve) ราว 3.25-4.25% สิ่งเหล่านี้ยังคงกดดันค่าเงินยูโร แม้ในช่วงสั้น ค่าเงินยูโรอาจจะฟื้นตัวช่วงสั้นหลังจากที่แตะระดับต่ำสุดที่ 1.2671 เหรียญฯ โดยล่าสุดขึ้นมาที่ 1.277 เหรียญฯ อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรป มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการปรับลด GDPลง และมีบางประเทศอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงโอกาสการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อทำให้มองว่าค่าเงินยูโรยังมีทิศ ทางขาลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งน่าจะเป็นสะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกชะลอ และหุ้นในยุโรปน่าจะกดดันตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง

การเคหะแห่งชาติ วางใจ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3 ปี
Source - Investor Station (Th)


          อุบลศรี สุนทรนัย  ผู้ ช่วยผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ ได้มอบความไว้วางใจให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด บริษัทในกลุ่มซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) นำโดยอนุสรณ์ บูรณกานนท์  กรรมการ ผู้จัดการ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด ดำเนินการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นระยะเวลา 3 ปี (ปี 55 - 57) โดยได้จัดพิธีลงนามสัญญาแต่งตั้งบริษัทจัดการ ณ โรงแรม เรอเนสซองซ์ กรุงเทพ ราชประสงค์