วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 29-03-2012

·        กสิกรฯอัดโปรโมชั่นCash Backซ้ำ รับแรงซื้อนักลงทุน ชี้นักลงทุนทยอยซื้อตั้งแต่ต้นปี
·        ยูโอบีเฮ กองทุนหุ้น "UOBSSRMF "สไตรค์แล้ว รับปัจจัยศก.โลกฟื้น-การกระตุ้นในประเทศ
·        วรรณแนะลงทุนกองอสังหาฯ หนีหุ้นผันผวน
·        บัวหลวง-ธนชาตตบเท้าคลอดกองทุนบอนด์ หวังดึงลูกค้าแข่งเดือดผลตอบแทน
·        FUTUREPFเพิ่มทุน 1,500ล้าน ภายในไตรมาส 2-3นี้ เดินหน้ายืดอายุกองทุนเป็น 30ปี

บลจ.กสิกรฯอัดโปรโมชั่นCash Backซ้ำ รับแรงซื้อนักลงทุน

Source - เว็บไซต์สยามรัฐ (Th)

          บลจ.กสิกรฯ ชี้ผู้ลงทุนทยอยซื้อกองทุนฯตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ ธปท.ปรับเพิ่มGDPเป็น5.7%ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตเมื่อเทียบกับปท.เพื่อนบ้าน อัดโปรโมชั่นCash Backทุก100บ.ได้4แต้ม สะสมสูงสุด4เท่า
          นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นได้มีการปรับฐานลงจนหลุดระดับ 1,200 จุด ทำให้ยอดขายกองทุน LTF ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อน 50% สะท้อนชัดถึงความเข้าใจของผู้ลงทุนในการจับจังหวะซื้อ ซึ่งบลจ.กสิกรฯ มองว่า การที่หุ้นปรับตัวลงไปเป็นเพียงการปรับฐานในช่วงสั้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยรองรับเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาสุทธิกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท และปรับตัวขึ้นมาเกือบ 17% แล้ว จึงเป็นช่วงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าในระยะสั้นจะได้รับปัจจัยบวกจากข่าวดีในสหรัฐฯ และยุโรป แต่จากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงคาดว่า น่าจะมีการปรับฐานลงได้อีกในช่วงสั้นๆ ซึ่งเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากโอกาสการปรับตัวขึ้นของดัชนีในช่วงปลายปี
          โดยการปรับตัวลงของตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการปรับฐานระยะสั้นแต่ยังไม่ใช่ fund outflow ออกจากประเทศ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน เช่น สิงคโปร์ ปรับตัวขึ้นมาที่ 13% หรือ อินโดนีเซีย เติบโตเพียง 5% อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นมามากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แต่ด้วยอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ของตลาดหุ้นบ้านเรายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
          ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ปรับเพิ่มประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นมาเป็น 5.7% จากเดิมที่คาดไว้เพียง 4.9% ขณะที่ ตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย แม้จะมีการปรับตัวขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับไทย แต่ราคาหุ้นค่อนข้างแพง และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งมีแนวโน้มว่ารัฐบาลอาจจะหยุดการอุดหนุนราคาน้ำมัน จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและกระทบมายังตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ส่วนฟิลิปปินส์ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นประมาณ 16% ใกล้เคียงกับบ้านเรา อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องการขาดดุลงบประมาณค่อนข้างมาก และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงเช่นกัน ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเติบโตได้อีกในอนาคต โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้จะปิดที่ 1,250-1,300 จุด
          ผลการดำเนินงานของกองทุน LTF ของบริษัท ณ วันที่ 23 มี.ค.55 กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ให้ผลตอบแทนประมาณ 18.49% กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาว (KEQLTF) ให้ผลตอบแทนที่ 18.44% กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20LTF)ให้ผลตอบแทนที่ 18.14% และกองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล (KGLTF)ให้ผลตอบแทน 18.09% สำหรับกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นอย่างกองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KEQRMF) ให้ผลตอบแทนที่ 18.39% ในขณะที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 16.49%
          สำหรับผู้ลงทุนที่ทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้น ปรับฐานนี้ ไม่เพียงจะได้ประโยชน์จากการสะสมโอกาสรับผลตอบจากตลาดหุ้นขาขึ้น แต่ยังได้ต้นทุนที่ประหยัดกว่าการลงทุนในช่วงปลายปีที่ดัชนีมักจะปรับตัวสูง ขึ้น พร้อมทั้งได้รับโปรโมชั่น Cash Back จาก บลจ. กสิกรไทย โดยลูกค้าสามารถสะสมยอดซื้อกองทุน LTF-RMF ตั้งแต่ 3 ม.ค. – 28 ธ.ค.55 เพื่อโอกาสรับ Cash Back สูงสุด 120,000 บาท และสำหรับลูกค้าที่เลือกชำระค่าซื้อกองทุน LTF ผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยภายในวันที่ 30 เม.ย.นี้ จะได้รับคะแนนสะสมพิเศษสูงถึง 4 เท่า โดยค่าซื้อกองทุนทุกๆ 100 บาท จะได้รับคะแนนสะสมสูงถึง 4 คะแนน จากปกติที่ได้รับเพียง 1 คะแนนเท่านั้น


กองทุนหุ้น"UOBSSRMF"สไตรค์แล้ว รับปัจจัยศก.โลกฟื้น-การกระตุ้นในประเทศ
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ยูโอบี เฮกองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (UOBSSRMF) ถึงเป้าก่อนครบกำหนด 2 ปี จากปัจจัย เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
          นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด ได้กล่าวว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กองทุนเปิด ยูโอบีซุปเปอร์ สไตรค์ เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSSRMF) นับเป็นกองทุนหุ้นไทยอีกกองหนึ่งภายใต้การบริหารของ บลจ.ยูโอบี(ไทย) จำกัด ที่ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างผลตอบแทนถึงเป้าหมายก่อนกำหนด ผลมาจากความเชี่ยวชาญของทีมผู้จัดการกองทุนที่เลือกใช้กลยุทธ์การคัดเลือก หุ้นที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อ เนื่องจึงทำให้กองทุนดังกล่าวบรรลุเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนตามที่กำหนด ไว้
          ทั้งนี้ กองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์สไตรค์ เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSSRMF)เป็นกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีที่มีการกำหนดเป้าหมายและโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ชัดเจน มีอายุโครงการประมาณ 2 ปี  ในกรณีที่หลังจาก 1 ปีนับจากวันจดทะเบียนแล้ว หากมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 12 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา5 วันทำการติดต่อกัน บลจ.จะทำการเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุกองทุน โดยบริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ไปยังกองทุนเปิด ยูโอบี ออมทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSVRMF)
          โดยกองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์เพื่อการเลี้ยงชีพ(UOBSSRMF) ได้เปิดเสนอขายครั้งแรกและเริ่มลงทุนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เรามีมุมมองที่ดีต่อตลาดทุนของปี 2554 แม้จะยังมีความกังวลจากการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงกลางปี และปัญหาวิกฤติน้ำท่วม รวมถึงมีปัจจัยกดดันจากปัญหาหนี้ยุโรป แต่ด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะฟื้นตัว ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตน้ำท่วม  ส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อน้อยลงและเศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่อเนื่อง
          นอกจากนี้เรามีวิธีการคัดเลือกหุ้นโดยพิจารณาจาก หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีราคาที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนได้ตามความเหมาะสมของภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ และเศรษฐกิจที่ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเป็น ตัวสนับสนุนซึ่งส่งผลให้
          กองทุนนี้ได้รับผลตอบแทนเป็นไปตามเป้าหมายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี
          "ขอขอบคุณสำหรับนักลงทุนที่ให้การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อการลงทุนกับบลจ.ยูโอบี (ไทย) จำกัด และเรายังคงติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสสำหรับการนำเสนอกองทุนประเภทที่มีเป้าหมายลักษณะนี้อีกต่อไป" นายวนา กล่าว


วรรณแนะลงทุนกองอสังหาฯหนีหุ้นผันผวน

Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (Th)

          บลจ.วรรณแนะลงทุนกองทุนเปิด ONE-PROP และ ONEPROP-SG ตอบโจทย์การลงทุน ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน
          นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับตัวขึ้นมาแรงอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีการปรับฐานนั้น นักลงทุนควรจะระมัดระวังเพราะหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ จะทำให้ตลาดหุ้นพร้อมที่จะปรับตัวลดลงได้ตลอดเวลา จากแรงเทขายทำกำไร
          ทั้งนี้ สำหรับในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก บลจ.วรรณ ขอแนะนำให้ลดความเสี่ยงลงโดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ running yield ที่ค่อนข้างสูงกว่าพันธบัตร อาทิเช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เช่น กองทุนเปิด วรรณ พร็อพเพอร์ตี้ พลัส ฟันด์ (ONE-PROP) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือกองทุนเปิด วรรณ พร็อพเพอร์ตี้ สิงค์โปร์ (ONEPROP-SG) ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยจะเน้นลงทุนใน Philip Singapore Real Estate Income Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยทั้งสองกองทุนนี้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงถึง 7% ต่อปีและผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ จากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ปีละไม่เกิน 4 ครั้ง อีกด้วย
          เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 55 บลจ. วรรณ ได้ทำการ Auto redemption หน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ONE-PROP จากจำนวนเงินที่จัดสรรจากเงินสดรับที่ได้จากเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในอัตราร้อยละ 1.75 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของลูกค้าแต่ละราย และผู้ลงทุนได้รับเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในวันที่ 26 มี.ค. 55 สำหรับกองทุนเปิด ONEPROP-SG บลจ.วรรณ จะทำการ Auto redemption หน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ONEPROP-SG จากจำนวนเงินที่จัดสรรจากเงินสดรับที่ได้จากเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในอัตราร้อยละ 3.50 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของลูกค้าแต่ละราย โดยใช้ราคา ณ วันที่ 28 มี.ค.55 และผู้ลงทุนจะได้รับเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในวันที่ 4 เม.ย. 55 โดยทั้งสองกองทุน ผู้จัดการกองทุนมีเป้าหมายที่จะบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละประมาณ 7% โดยจะมีการทำ Auto redemption ไม่เกินปีละ 4 ครั้ง
          การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นับเป็นทาง เลือกที่มีความน่าสนใจ และให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวมตราสารหนี้หรือกองทุน รวมหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน โดยกองทุน ONE-PROP มีมูลค?หน?วยลงทุนเท่ากับ 14.2020 บาท และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,882.94 ล้านบาท (27 มี.ค. 55) และกองทุน ONEPROP-SG มีมูลค?หน?วยลงทุนเท่ากับ 10.6168 บาท และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 32.97 ล้านบาท (23 มี.ค. 55)


2บลจ.ตบเท้าคลอดกองทุนบอนด์ หวังดึงลูกค้าแข่งเดือดผลตอบแทน
Source - ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          2 บลจ. เครือแบงก์ เข็นกองทุนบอนด์ในประเทศและต่างประเทศรับดีมานด์ คลอดรวดเดียว 3 กองทุน บลจ. บัวหลวงเข็นบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/12” อายุ 6 เดือน ชูผลตอบแทนประมาณการที่ 3.1% เริ่มไอพีโอแล้ว ถึง 3 เมษายน นี้ ด้าน บลจ.ธนชาต ดัน "ธนชาต Fixed Income 13 และธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y7" อายุ 6 เดือน 12 เดือนตามลำดับ ชูผลตอบแทน 3.35% และ 4% เริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 2 เมษายน นี้
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/12 หรือ BUALUANG FIXED INCOME - TERM FUND 13/12 (B-FIXTERM13/12) ซึ่งมีอายุประมาณ 6 เดือน ให้ผล ตอบแทนประมาณการที่ 3.1% ต่อปี โดยเริ่มไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 6 มีนาคม 2555
          สำหรับกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/12 จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ และต่างประเทศ โดยส่วนที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศ กองทุนจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลัง กองทุน ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ออก ผู้รับรอง เป็นต้น
          ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ ตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน รวมถึงภาคเอกชน ที่เสนอขายในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับ ณ วันที่ลงทุน ในระดับ INVESTMENT GRADE
          ทั้งนี้กองทุน B-FIXTERM13/12 จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐประมาณ 11% เงินฝาก และตราสารสารสถาบันการเงินในประเทศอีก 24% เงินฝาก และตราสารหนี้สารหนี้ที่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ 40% ตราสารหนี้ภาคเอกชน 24% และเงินฝากอีก 1%
          โดยกองทุนดังกล่าวเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศและตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเลือกการลงทุนในตราสารหนี้ของกิจการที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพในการให้ ผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตามเงินลงทุนที่จะนำมาลงทุนกองทันนี้ควรเป็นเงินส่วนที่สามารถได้ ตามอายุกองทุน
          ด้าน บลจ. ธนชาต เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังเปิดกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 13 และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y7 ซึ่งทั้ง 2 กองทุนเริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 2 เมษายน นี้
          สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 13 อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 3.35% โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank/ ธนาคาร First Gulf Bank 20% เงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China 20% ตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย Banco do Brazil/Banco ltau BBA S.A. 20% ตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย Emirates NBD/Suhyup Bank 19% ตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา /ธนาคารกรุงไทย 20.90% และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ อีก 0.10%
          ขณะที่กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y7 อายุ 12 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 4% โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank/ ธนาคาร First Gulf Bank 22% เงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China 22% ตราสารหนี้ ที่ออกโดย Banco do Brazil 24% ตราสารหนี้ ที่ออกโดย Bank of East Asia/Suhyup Bank 7.9% ตราสารหนี้ ที่ออกโดย Banco ltau BBA S.A. 24% และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ อีก 0.10%


กองฟิวเจอร์ฯเพิ่มทุน 1,500ล้านภายในไตรมาส2-3นี้ เดินหน้ายืดอายุกองทุนเป็น30ปี

Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          FUTUREPF เร่งเพิ่มทุน 1,500 ล้านบาท ภายในไตรมาส 2-3 นี้ ก่อนถูกบอนไซ พร้อมขยายอายุกองทุนเป็น 30 ปี คาดรายได้ทั้งปีเติบโต20%
          นายรณยุทธ์ สิริโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการ สายการเงิน บริษัท รังสิตพลาซ่าและในฐานะกรรมการบริหารกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF) กล่าวว่า มีแผนที่จะเพิ่มทุนอีก 1,500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (เอ็นเอวี)5,151 ล้านบาท โดยนำไปลงทุนในสิทธิการเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต อีกประมาณ 3,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะสามารถเรียกประชุมผู้ถือหน่วยเพื่อขออนุมัติภายในไตรมาส2-3 นี้
          นอกจากนี้ กองทุนยังขยายระยะเวลาสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก 15 ปี ทำให้อายุกองทุนขยายออกไปเป็น30 ปี
          "ส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้องเพิ่มทุน คือ หากกฎเกณฑ์กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มีผลบังคับใช้ จะไม่สามารถเพิ่มทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อีก และการขยายอายุกองทุนจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกองทุน" นายรณยุทธ์ กล่าว
          สำหรับผลการดำเนินงานกองทุนปี2555 นายรณยุทธ์คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากปีก่อน ที่เท่ากับ680 ล้านบาท ขณะที่อัตราค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.5-4% จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น3% จากปีก่อนที่มีผู้ใช้บริการ 1.51 แสนคนต่อวัน อัตราการใช้พื้นที่ให้เช่าของศูนย์การค้าจะรักษาให้อยู่ในระดับ 97-98% และคาดว่าในอนาคตจะสามารถรักษาอัตราจ่ายปันผลไว้ในระดับ 10%
          "ในไตรมาส 1 ปีนี้จะมี รายได้ที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากการเคลมประกันที่เกิดจากความเสียหายจาก เหตุการณ์น้ำท่วม 45.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยมากขึ้นอีก 0.10 บาท" นายรณยุทธ์ กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนประจำวันที่ 22/03/2012

·        TMBAM ส่ง 'สมจินต์' นั่งนายกสมาคมฯ ดันขยายเวลาลดภาษี LTF
·        ยูโอบีเชียร์หุ้น 'จีน-อินเดีย' ผงาด หนุนหุ้นพุ่งแรงปีนี้
·        ธนชาตเข็นกองทุนหุ้น เน้นหุ้นราคาต่ำกว่าดัชนีตลาดฯ
·        วรรณเชื่อดอกเบี้ยยืน3%ยาว รีบหาช่องทางลงทุน
·        ประกันสังคมชี้หุ้นไทยแพงเผยมีเงินแสนล.ไม่มีที่ลงทุน
·        ศศินทร์ ไขปัญหาการลงทุนใน "กองทุนเปิดทองคำ" ในไทย


'สมจินต์'นั่งนายกสมาคมฯ ดันขยายเวลาลดภาษีLTF
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          "สมจินต์" ขึ้นแท่นนายกสมาคม บลจ.คนใหม่ "วรวรรณ" ฝากงานหิน จูงใจ บลจ.เน้นให้ความรู้เลิกใช้โปรโมชันดูดลูกค้า เสนอขยายเวลาสิทธิภาษีกอง LTF
          นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง ในฐานะอดีตนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยผลการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุนชุดใหม่ ว่า นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย ได้รับตำแหน่งนายกสมาคม บลจ.คนใหม่ โดยนายฉัตรพีตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี และนายหรรษา สุสายัณห์กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.บัวหลวง เป็นอุปนายกสมาคม
          "สิ่งที่ฝากไปยังนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการชุดใหม่ คือ การเร่งให้สมาชิกให้ความสำคัญในการนำเสนอผลการดำเนินงาน ความเสี่ยง แนวคิดในการบริหารจัดการ และวิธีการบริหารกองทุน ซึ่งมีจุดเด่นที่ต่างกัน เพื่อให้นักลงทุนใช้ปัจจัยในเชิงคุณภาพในการตัดสินใจซื้อกองทุนมากกว่าให้ ความสำคัญกับของแถมเพียงอย่างเดียว" อดีตนายกสมาคมฯ กล่าว
          นอกจากนี้ นางวรวรรณยังกล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้เสนอผ่านคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไปถึงกระทรวงการคลัง ว่าควรจะขยายระยะเวลาได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุนรวม หุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะครบกำหนดในปี 2559 ออกไปแบบไม่มีกำหนด และอนุญาตให้ บลจ.ออกกองทุนLTF ใหม่ได้ตลอดเวลา เพื่อประโยชน์ของอุตสาหกรรมกองทุน และเป็นทางเลือกของนักลงทุน
          นายสมจินต์ กล่าวภายหลังได้รับตำแหน่งนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนว่า สมาคมฯ จะทำงานร่วมกับ 3 ฝ่าย คือ 1.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนในให้มีความหลากหลายและครบถ้วน เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น 2.สมาชิกสมาคมฯ โดยเน้นเรื่องจรรยาบรรณและประโยชน์ของนักลงทุนรวมทั้งพัฒนาความสามารถของสมาชิกในการบริหารกองทุน และ 3.นักลงทุน โดยจะมุ่งเน้นการให้ความรู้กับผู้ลงทุน เพื่อให้ขยับมาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้


ยูโอบีเชียร์หุ้น'จีน-อินเดีย'ผงาด
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          ยูโอบี เผยเศรษฐกิจจีนอินเดียผงาด หนุนหุ้นพุ่งแรงปีนี้ เชียร์ลงทุนคาดแนวโน้มยังดี
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียในครั้งนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียและจีน ซึ่งมีผลตอบแทนที่แย่สุดในปี 2554 โดยติดลบ 20% และ 26% ตามลำดับ เป็นตลาดกลุ่มที่ดีที่สุด โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่16 มี.ค. 2555 หุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น 15%และจีนเพิ่มขึ้น 14%
          นอกจากจะได้รับผลดีจากการคลายกังวลปัญหายุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณดีขึ้น เงินเฟ้อของ 2 ประเทศชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางทั้งสองประเทศเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินและคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีนี้
          "แม้สำนักวิเคราะห์บางแห่งมองว่าเศรษฐกิจจีนจะ ดิ่งลงรุนแรงในปีนี้ ทำให้ตลาดปรับลงเล็กน้อย แต่ก็ดีดขึ้นมาได้ขณะที่หุ้นอินเดียมีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน ในปีนี้"บลจ.ยูโอบี กล่าว
          ปัจจุบันตลาดหุ้นจีนซื้อขายที่ราคาต่อกำไร (พี/อี) 9.4 เท่า ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในอดีตที่ 12 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียมี พี/อี 13.5 เท่า ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในอดีตที่ 15 เท่า จึงยังมีโอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้นได้อีกหากสภาพคล่องในตลาดโลกยังดี แต่ต้องติดตามทิศทางนโยบายการเงินและการคุมเข้มภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ส่วนความเสี่ยงของอินเดียผูกอยู่กับราคาน้ำมัน หากสูงขึ้นมากจะทำให้ระดับเงินเฟ้อเร่งตัวอีก และหากเงินไหลออกจะทำให้สภาพคล่องตึง
          บลจ.ยูโอบี มีกองทุนเปิดยูโอบีสมาร์ท ไชน่า อินเดีย เป็นทางเลือกในการลงทุน


บลจ.ธนชาตเข็นกองทุนหุ้น เน้นหุ้นราคาต่ำกว่าดัชนีตลาดฯ
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ธนชาต เข็นกองทุนหุ้น "ธนชาต Low Beta" เน้นลงทุนหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างต่ำ เริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 27 มีนาคม 2555
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนเปิดธนชาต Low Beta ซึ่งเป็นกองทุนหุ้น ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อายุของโครงการแบบไม่มีกำหนด โดยกองทุนดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนแล้วเมื่อวันที่13 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา และเริ่ม ไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 27 มีนาคม นี้
          ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้อง การโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวของ ราคาเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างต่ำและยอมรับความเสี่ยงจากการ ลงทุนดังกล่าวได้
          โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์ ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างต่ำ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีของกองทุน หลักทรัพย์ดังกล่าวจะมีค่า Beta ไม่เกิน 1 และกรณีหลักทรัพย์ดังกล่าวมีค่า Beta เกิน 1 จะดำเนินการแก้ไขภายใน 30 วันนับแต่วันสิ้นรอบปีบัญชีของกองทุน โดยไม่ถือว่าปฏิบัติผิดไปจากรายละเอียดโครงการ ซึ่งในกรณีที่มีความผิดปกติของตลาด หรือราคาตลาดของหลักทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรง หรือกรณีที่การเปลี่ยนแปลงในภาวะตลาด หรือการคาดกาณ์ภาวะตลาดทำให้หลักเกณฑ์การลงทุนข้างต้นขาดความเหมาะสมในทาง ปฏิบัติ หรือจะก่อความเสียหายให้แก่กองทุนโดยรวม รวมถึงกรณีอื่นใดที่เกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือเหตุที่เกิดจาก ปัจจัยภายนอก หรือเหตุอื่นใดที่ได้รับการผ่อนผันจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
          ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารทุน ตราสารกึ่งทุน ตราสารแห่งหนี้ หรือเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามประกาศคณะ กรรมการ ก.ล.ต. หรือประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.เห็นชอบ
          ทั้งนี้ กองทุนอาจจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง รวมถึงตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารต่ำกว่า อันดับสามารถลงทุนได้ ซึ่งตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือและตราสารทุนที่ไม่ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยกเว้นในกรณีขณะที่เริ่มลงทุนตราสารดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อ ถือของตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ แต่ต่อมาถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงต่ำกว่าInvestment grade กองทุนจะมีไว้ซึ่งตราสารดังกล่าวได้ รวมทั้งมีเวลาในการปรับลดอัตราส่วนให้เป็นไปตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด หรือเห็นชอบให้ดำเนินการได้



ดอกเบี้ยยืน3%ยาวรีบหาช่องทางลงทุน

Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          เชื่อดอกเบี้ยยืน3%ไปอีกนาน ควรแสวงหาการลงทุนที่ให้ดอกสูง เงินเฟ้อไม่น่าห่วง บัวหลวงจ่าย 2.625%
          นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ(บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า บลจ.วรรณประเมินว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ 3% ไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นระดับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่าเหมาะสมต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม
          ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังไม่น่ากังวล แม้ว่าน้ำมันราคาขึ้น แต่ราคาอาหารปรับลดลงช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลง
          ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3-6 เดือนของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 3 แห่งของไทย อยู่ที่1.93-2.41%
          นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ธนาคารขยายเวลาการรับฝากเงินฝากประจำพิเศษระยะ 4 เดือน ที่จ่ายดอกเบี้ยสูง 2.625% ออกไปอีก 1 เดือน โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 23 เม.ย.นี้


ประกันสังคมชี้หุ้นไทยแพงเผยมีเงินแสนล.ไม่มีที่ลงทุน

Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th)

          ประกันสังคมเผยเงินออมล้น รัฐฯก่อหนี้สาธารณะก้อนใหญ่ ด้วยการออกพันธบัตรไม่กระทบดอกเบี้ยตลาดบอนด์ติงหุ้นไทยแพงแต่ไม่มีที่ไป กลุ้มพอร์ตหุ้นสปส.มีเงินเหลืออีกเกือบแสนล้าน
          วันที่ 20มีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) จัดเสวนาเรื่อง"หนี้สาธารณะและผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุน" นายพิชัย ชุณหวชิรประธานอนุกรรมการบริหารการลงทุน สำนักงานประกันสังคม(สปส.)หนึ่งในวิทยากรที่ร่วมงานครั้งนี้กล่าวว่าตลาดตรา สารหนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่รัฐบาลก่อหนี้ด้วยการออกพันธบัตรเนื่อง จากปัจจุบันเงินออมของประเทศมีสูงมากโดยทั้งระบบมีมากกว่า10ล้านล้านบาททั้งในระบบเงินฝากตั๋วแลกเงิน(บี/อี) และกองทุนรวม
          เช่นเดียวกับสปส.ที่ปัจจุบันมีเงินกองทุนถึง  9 แสนล้านบาท  โดย 85% เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนอีก10% หรือประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ลงทุนในหุ้น  ซึ่ง จะเห็นได้ว่าปัจจุบันในระบบยังมีสภาพคล่องและมีเงินออมอีกมาก ดังนั้นการก่อหนี้สาธารณะด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลจึงไม่กระทบต่ออัตรา ดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้
          นายพิชัย ยังยกตัวอย่างเพื่อสนับสนุนว่าเงินออมในประเทศมีจำนวนมาก โดยกล่าวว่าสปส.มีเป้าหมายว่าลงทุนในหุ้นให้ได้ถึง20%รวมการลงทุนหุ้นต่างประเทศแต่ปัจจุบันสามารถลงทุนได้เพียง10%เนื่อง จากไม่มีหุ้นให้ลงทุนโดยขณะนี้สปส.อยู่ระหว่างพัฒนาบุคลากรเนื่องจากนโยบาย การลงทุนในต่างประเทศของสปส.จะใช้วิธีไปลงทุนเองโดยตรงด้วยการว่าจ้างบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนในต่างประเทศบริหาร
          ส่วนกรณีที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงโดยดัชนีหลักทรัพย์ปรับขึ้นแตะที่ระดับ1,200จุด นั้นนายพิชัย กล่าวว่า ถือว่าเป็นระดับที่แพง แต่เนื่องจากปัจจุบันเงินไม่มีที่ไปหรือไม่มีที่ลงทุน เงินจึงยังหมุนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นจึงทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าแพงก็ยังซื้อ เพราะการไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีปัญหา เงินจึงได้ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เช่นเดียวกับสปส.ที่ยังลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
          ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบลจ.เอ็มเอฟซีฯ กล่าวว่า  การที่ตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปถึง 1,200 จุดนั้นถือว่าเป็นระดับที่เสี่ยงแล้วเพราะปัจจุบันวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรปยังอันตราย
          ดร.ณรงค์ชัย กล่าวว่าสำหรับเงินเฟ้อของไทยที่ระดับไม่เกิน 4% ถือว่ายังไม่น่ากลัว แต่อีกมิติหนึ่งคือ สินค้าราคาและราคาพลังงานสูงขึ้น ขณะที่ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะ 41%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)หรือมีมูลค่า11.5ล้านล้านบาทแต่ต้องกู้อีก1.1ล้านล้านบาท ใน 2 ปีข้างหน้าจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 52%หรือ 5.4 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงถ้าบริหารไม่ดี


ศศินทร์ ไขปัญหาการลงทุนในกองทุนเปิดทองคำในไทย
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          สืบเนื่องจากการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการวิจัยและการจัดสัมมนา "Sasin Faculty Research Forum เรื่องช่องโหว่กองทุนเปิดทองคำในไทย" ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ผล
          ที่ตามมาก็คืองานวิจัยดังกล่าวได้รับความสนใจ ทั้งจากนักลงทุน รวมทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนซึ่งได้ตื่นตัวถึงปัญหาที่กระทบต่อ ภาพรวมของตลาดและขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และกำหนดแนวทางดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก
          ทั้งนี้ หลังจากที่จัดสัมมนาไปมีผู้ที่สนใจและนักลงทุนติดต่อสอบถามเข้ามาเป็นจำนวน มาก ทางผู้วิจัยจึงขอสรุปคำถามและตอบคำถาม เพื่อเผยแพร่ให้นักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน ดังนี้
          1) ทำไมราคาปิดของกองทุนทองคำสิงคโปร์ในวันที่ 18 มี.ค. 2554 และ 30 ธ.ค. 2554 ไม่สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรม
          ในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ราคาซื้อขายได้อยู่ในช่วง$151-$152 ตลอดทั้งวันจนถึงตลาดปิด แต่ราคาปิดกลับก้าวกระโดดไปอยู่ที่ $165.99 เมื่อตรวจสอบไปที่ตลาดทองคำโลกก็ไม่พบว่ามีการกระโดดของราคาในลักษณะนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น และราคาชี้แนะตามมูลค่ากองทุน (Indicative NAV) ณ เวลานั้นคือ$151.694 ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณมาจากราคาทองคำในตลาดโลก ราคาปิดที่ 165.99 นั้นถือว่าสูงกว่าราคาตลาดทองคำโลกไปถึง 9.42% ส่วนในวันที่ 18 มี.ค. 2554 ก็เป็นเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน แต่ราคาปิดสูงกว่าราคาตลาดทองคำโลกไป 5.17%
          ราคาปิดของทั้งสองวันนี้ไม่สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรมเพราะแตกต่างจากราคาที่ซื้อขายกันในตลาดอื่นมากและราคาดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงช่วง
          วินาทีก่อนตลาดปิดเท่านั้น ถ้ามีการขยายเวลาปิดตลาดออกไป ก็จะมีนักทำกำไรเข้ามาขายที่ราคาที่สูงผิดปกตินั้น และไปซื้อคืนที่ตลาดอื่นเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างไป ซึ่งจะทำให้ราคากลับมาเป็นปกติ แต่ในช่วงปิดตลาดเป็นเวลาที่สั้นมาก ทำให้นักทำกำไรเข้ามาไม่ทัน จึงทำให้ราคาปิดสูงกว่าราคาที่แท้จริงดังที่ปรากฏ
          นอกจากนี้ทาง บลจ.อย่างน้อย 3 แห่ง ก็ออกจดหมายถึงลูกค้ายอมรับเหตุการณ์วันที่ 30 ธ.ค. ว่า
          "การปรับตัวของราคาปิดไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับราคาทองคำในตลาดโลก" "มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนไม่สะท้อนราคาทองคำในตลาดโลก"และ "ราคาปิดของ SPDR Gold Trust ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติในช่วงปิดตลาด" สำหรับเหตุการณ์วันที่18 มี.ค. มี บลจ.แห่งหนึ่งยอมรับว่า "ลูกค้าที่มีการ
          ส่งคำสั่งซื้อในวันที่ 18 มี.ค. 2554 จะได้ราคาที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นตามราคาทองคำในตลาดโลกประมาณ 5%"
          2) ถ้าราคาปิดของกองทุนที่ซื้อขายในตลาด มีค่าต่างกับ NAV ของกองทุนนั้นมาก ถือว่าปกติหรือไม่
          กองทุนที่ซื้อขายในตลาดมีอยู่สองประเภท คือกองทุนเปิด Exchange-traded Fund (ETF) และกองทุนปิด Closed-end Fund (CEF) ในกรณีกองทุนเปิด กองทุนจะมีกลไกในการสร้างและลดหน่วยลงทุน (Creation and Redemption) ทำให้ราคาที่ซื้อขายในตลาดจะไม่แตกต่างจาก NAV ได้มาก เพราะถ้าราคาแตกต่างกับ NAV มากก็จะมีนักทำกำไรเข้ามาซื้อขายทำกำไรในส่วนต่าง ทำให้ราคาปรับกลับมาใกล้เคียงกับ NAV ดังนั้นถ้าราคาซื้อขายของกองทุนเปิด เช่น กองทุนทองคำสิงคโปร์ SPDR GLD 10US$ ต่างจาก NAV แค่เพียง 2% ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก
          ส่วนในกรณีกองทุนปิด เช่นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนจะไม่มีกลไกในการสร้างและลดหน่วยลงทุนที่จะช่วยปรับราคาที่ซื้อขายใน ตลาดไม่ให้แตกต่างจาก NAV ได้มากเหมือนในกรณีของกองทุนเปิด ดังนั้นราคาของกองทุนที่ซื้อขายกันในตลาดจะแตกต่างจาก NAV ของกองทุน โดยจะขึ้นกับความต้องการซื้อและขายในตลาดขณะนั้น เช่นถ้าราคาตลาดของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างจากNAV ถึง 20% ก็จะถือเป็นเรื่องที่ปกติ
          3) การบิดเบือนราคาปิดนี้สามารถทำได้หรือไม่และสมควรนำราคาปิดมาใช้กำหนดราคาซื้อขายหน่วยลงทุนหรือไม่
          ตามหลักการถ้าตลาดมีเวลาให้ผู้ซื้อและผู้ขาย เพียงพอ ราคาซื้อขายจะไม่สามารถถูกบิดเบือนได้ง่ายเพราะถ้าราคาทองคำในตลาดหนึ่งมี ราคาสูงเกินไป ก็จะมีนักทำกำไรเข้าไปขายที่ตลาดนั้นในราคาสูง และไปซื้อกลับในตลาดอื่นที่ราคาปกติเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง ราคาในตลาดนั้นก็จะกลับมาเป็นราคาปกติและราคาของทุกตลาดก็จะกลับเข้าสู่ สภาวะสมดุลแต่ราคาปิดเป็นราคาที่เกิดในช่วงเวลาที่สั้นมากไม่เพียงพอที่กลไก การปรับราคาสู่สมดุลดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้ทัน การบิดเบือนราคาปิดจึงสามารถทำได้ โดยการส่งคำสั่งซื้อหรือขายช่วงสุดท้ายก่อนตลาดปิดรับคำสั่ง และถ้าสภาพคล่องขณะนั้นต่ำด้วยก็จะไม่ต้องใช้ทุนมากในการทำราคาปิด
          ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณกำลังถ่ายรูปเพื่อนของคุณ พอคุณนับ 1-2-3 เขาก็กระโดดขณะที่คุณกดชัตเตอร์พอดี ถ้าเอารูปนี้ไปโชว์ คนที่ดูรูปก็อาจเข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนของคุณตัวสูงซึ่งรูปนั้นไม่ได้สะท้อน ความสูงที่แท้จริงของเขา เพราะรูปนั้นเกิดจากการบิดเบือนความสูงแค่เพียงช่วงสั้นๆ เหมือนกับการทำราคาปิด แต่ถ้าคุณถ่าย 100 รูปในเวลา10 นาที แล้วหาความสูงเฉลี่ย เพื่อนของคุณก็จะไม่สามารถบิดเบือนความสูงได้ง่ายอีกต่อไป เพราะต้องกระโดดอยู่ตลอดในช่วงเวลา 10 นาทีนั้น ซึ่งจะเหนื่อยมากดังนั้นราคาเฉลี่ยจะบิดเบือนได้ยากมาก
          ในสหรัฐอเมริกา ถ้ามีการซื้อขายช่วงท้ายตลาดเพื่อบิดเบือนราคาปิดเพื่อผลประโยชน์ที่ผูกกับ ราคาปิดนั้น ก็จะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง และทาง U.S.Securities and Exchange Commission ก็ได้จับและปรับผู้กระทำผิดในการบิดเบือนราคาปิดไปได้หลายราย
          อย่างไรก็ตาม ราคาปิดของหลักทรัพย์ทั่วๆ ไปมักจะไม่ถูกบิดเบือน เพราะไม่มีผลประโยชน์ใดๆ มาผูกกับราคาปิดนั้น จึงไม่มีใครต้องการที่จะบิดเบือนราคาปิด แต่ในกรณีราคาปิดของ SPDR GLD 10 US$นั้นได้ผูกอยู่กับผลประโยชน์มหาศาล เช่น ในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ราคาปิดของ SPDR GLD 10 US$ เป็นตัวกำหนดราคาซื้อขายของกองทุนทองคำในไทยในวันนั้นทั้งวัน ที่มีมูลค่าการซื้อสุทธิถึง 860 ล้านบาทการที่ราคาปิดนั้นสูงเกินจริงก็ทำให้ผู้ที่ขายกองทุนในไทยในวันนั้นขายได้ในราคาที่สูงเกินจริงด้วย
          ตัวเลขตัวใดถ้ามีการนำไปผูกกับผลประโยชน์ ตัวเลขนั้นควรจะต้องเป็นตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากเพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตัวอย่างเช่น ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่างๆ ราคาซื้อขายในวันสุดท้ายจะผูกกับผลประโยชน์ของผู้ที่ถือสัญญา ดังนั้นตลาดเหล่านี้จึงใช้ราคาเฉลี่ยช่วงท้ายตลาดแทนที่จะใช้ราคาปิดเพราะ ราคาเฉลี่ยไม่สามารถถูกบิดเบือนได้ง่ายจึงสะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรมได้ดี กว่าราคาปิด อีกตัวอย่างหนึ่งคือในกาสิโนต่างๆ เขาจะใช้การทอยลูกเต๋าที่บิดเบือนได้ยากในการผูกกับผลประโยชน์ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม แต่ถ้ามีการบิดเบือน เช่น การถ่วงลูกเต๋า ก็จะถือว่าเป็นความไม่ยุติธรรมต่อลูกค้า แต่ในกรณีกองทุนทองคำ ราคาปิดของ ETF ที่สิงคโปร์เป็นราคาที่ถูกบิดเบือนได้ดังที่ อธิบายไว้ข้างต้น อีกทั้งได้มีการผูกกับผลประโยชน์ของนักลงทุนที่ซื้อขายกองทุนทองคำในไทย จึงมีความเป็นไปได้ที่จะถูกบิดเบือนและเกิดช่องโหว่ให้มีการทำกำไรอย่างไร้ ความเสี่ยงดังที่อธิบายในบทวิจัย ผู้วิจัยจึงเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ตัวเลขอื่นที่บิดเบือนยากมากำหนดNAV และราคาซื้อขายหน่วยลงทุนแทน
          โดยเฉพาะในกรณีวันที่ 30 ธ.ค.นั้น ตามหลักการแล้วการกำหนดราคา NAV ควรจะต้องสะท้อนถึงราคาตลาดและเป็นธรรม (Fair Market Value) และผู้วิจัยเห็นว่าราคาปิดที่ใช้ในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 นั้นไม่ได้สะท้อนถึงราคาตลาดที่เป็นธรรมตามที่อธิบายในข้อ 1 ดังนั้นตามหลักการทางวิชาการผู้วิจัยเห็นว่าไม่สมควรนำราคาปิดดังกล่าวมาใช้กำหนด NAV และราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในวันนั้น
          4) กองทุนอื่นที่ใช้ราคาปิดของหลักทรัพย์มาใช้คำนวณ NAV ของกองทุน จะมีผลกระทบในลักษณะเดียวกันหรือไม่
          สาเหตุที่กองทุนส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ใช้ราคาปิดของหลักทรัพย์ที่กองทุนถืออยู่แต่ละตัวมากำหนดราคา NAV ของกองทุนแล้วไม่เกิดปัญหาเหมือนในกรณีกองทุนทองคำของไทย เพราะกองทุนเหล่านั้นถือหลักทรัพย์หลายตัว ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจให้มีการทำราคา เช่น ถ้ากองทุนมีหุ้น 20 ตัว ถ้าจะบิดเบือนก็ต้องไปบิดเบือนราคาปิดของหุ้นทั้ง 20 ตัว ซึ่งก็จะไม่คุ้ม เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำราคาของหุ้นทุกตัว เมื่อไม่มีแรงจูงใจในการทำราคาราคาปิดจึงไม่ถูกบิดเบือนและทำให้สะท้อนราคา ตลาด
          ในกรณีที่กองทุนลงทุนในหลักทรัพย์ตัวเดียวส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบ Master-feeder Funds กล่าวคือ กองทุนที่เรียกว่า Feeder Fund จะลงทุนในกองทุนอีกกองทุนหนึ่งที่เรียกว่า Master Fund อย่างไรก็ดีกองทุน Master Fund เหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น ETF และไม่ได้ซื้อขายกันในตลาด ทำให้ไม่สามารถทำราคาปิดได้ ปัญหาดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้น และในกรณีที่ Feeder Fund เป็นกองทุน ETF ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่เกิดเช่นกันเพราะกองทุน ETF นั้นซื้อขายกันในตลาดอยู่แล้วซึ่งนักลงทุนจะทราบราคาซื้อ ขายที่แน่นอนในขณะซื้อขาย ดังนั้นจะมีกรณีเดียวที่ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นคือกรณีที่กองทุนFeeder ไม่เป็น ETF แต่ลงทุนใน Master Fund ที่เป็น ETF ซึ่งจะมีเพียงส่วนน้อยของกองทุนในโลก เท่านั้นที่เป็นกรณีนี้ ตัวอย่างคือ กองทุนรวมทองคำของไทยที่ลงทุนในกองทุนทองคำสิงคโปร์หรือฮ่องกง กองทุนน้ำมันที่ลงทุนในกองทุนเปิด ETF ตัวเดียว และกองทุนทองคำบางตัวในอินเดีย ซึ่งกองทุนเหล่านี้มีโอกาสที่จะประสบปัญหาแบบเดียวกับกองทุนรวมทองคำของไทย และทางผู้วิจัยเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กำกับกองทุนของประเทศนั้นก็ จะเข้ามาแก้ไขปิดช่องโหว่ดังกล่าวเมื่อทราบเช่นกัน ส่วนสาเหตุที่กองทุนเหล่านี้บางกองทุนยังไม่ประสบปัญหาดังกล่าว อาจเป็นเพราะ 1) กองทุนETF ที่เป็น Master Fund มีสภาพคล่องสูงขณะปิดทำให้การทำราคาปิดต้องใช้ทุนสูงจึงอาจไม่คุ้ม 2) มีการเก็บค่าถือครองระยะสั้นใน Feeder Fund เหมือนกองทุนทองคำอินเดีย จึงอาจทำให้ไม่คุ้มต่อการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยง 3) ประเทศนั้นมีกฎหมายรองรับที่จะเอาผิดกับผู้ที่จงใจทำราคาปิดและมีการจับและปรับเกิดขึ้นในอดีต หรือ 4) ยังไม่มีนักทำกำไรเห็นช่องโหว่ดังกล่าว
          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มสภาพคล่องของกองทุน ETF ที่เป็น Master Fund มีการเก็บค่าถือครองระยะสั้นของ Feeder Fund และมีการบังคับใช้กฎหมาย สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดจริงๆ และถ้ากองทุนทองคำในไทยย้ายไปลงทุนในSPDR GLD ETF ที่ฮ่องกง แต่ยังคงใช้ราคาปิดในการอ้างอิงเช่นเดิม ก็จะไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดเช่นกัน เพราะราคาปิดของSPDR GLD ETF ที่ฮ่องกงก็อาจจะถูกบิดเบือนได้อีกการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดคือการเปลี่ยนมาใช้ตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากในการกำหนด NAV แทนการใช้ราคาปิด
          5) หลังจากพบช่องโหว่นี้ ศศินทร์ ทำอย่างไร
          เมื่อทางผู้เขียนพบวิธีการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยงจากช่องโหว่นี้ ก็ได้ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมโดยมีขอบเขตของงานดังต่อไปนี้ 1) เพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดในปัจจุบันคือการนำราคาที่บิดเบือนได้ง่ายและไม่ได้สะท้อนราคาตลาดอย่างเป็นธรรม มาใช้กำหนด NAV ของกองทุน 2) แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ที่นักลงทุนสามารถเข้ามาทำกำไรโดยไร้ความเสี่ยงได้ ซึ่งควรจะต้องรีบปิด และ 3)เสนอวิธีแก้ไขปัญหาโดยเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ตัวเลขอื่นที่บิดเบือนได้ยากมากำหนดราคาNAV แทน โดยยกตัวอย่างตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากและสามารถสะท้อนราคาตลาดอย่างเป็นธรรม เช่น ค่าเฉลี่ยและ ค่า Indicative NAV โดยทั้งนี้ งานที่อยู่นอกเหนือจากขอบเขตของงานวิจัยดังกล่าว ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเป็นผู้ทำการศึกษาเพื่อพิจารณาตัดสินใจเลือกตัว เลขที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ในการคำนวณ NAV ต่อไป
          เมื่อได้ผลการวิจัยในวันที่ 18 ม.ค. 2555 ทางศศินทร์ก็ได้แจ้งไปยัง ก.ล.ต. การแจ้ง ก.ล.ต.ก่อนนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการ เพราะก.ล.ต.เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของ ตลาดและคุ้มครองผู้ลงทุนและหลังจากนั้นก็ได้ไปนำเสนอผลงานและได้ปรึกษาร่วม กันกับทาง ก.ล.ต.เพื่อหารือแนวทางแก้ไข ซึ่งทาง ก.ล.ต.ก็แจ้งว่าได้มีการปรึกษากับทางบลจ.ในเรื่องเหตุการณ์วันที่30 ธ.ค.นี้ก่อนแล้วทางศศินทร์จึงไม่ได้ไปติดต่อกับสมาคม บลจ.โดยตรงเองอีกทาง เพราะทาง ก.ล.ต. และสมาคม บลจ.มีการประสานงานกันอยู่
          นอกจากนี้แล้ว ไม่ได้มีบุคคลหรือองค์กรใดแนะนำหรือว่าจ้างให้ผู้วิจัยทำการวิจัยดังกล่าว เพียงแต่เราในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่ต้องการทำหน้าที่เป็น ส่วนหนึ่งของการดูแลและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เห็นว่าการใช้ราคาปิดที่ผิดปกติของกองทุนทองคำสิงคโปร์ในวันที่18 มี.ค. 2554 และ 30 ธ.ค. 2554 มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ที่ผ่านมานักลงทุนไทยที่ซื้อกองทุนทองคำที่อิงกับสิงคโปร์ในวันที่ 18 มี.ค.2554 ต้องรับภาระซื้อในราคาที่แพงเกินจริงไป5.17% และเหตุการณ์ลักษณะเดิมได้เกิดซ้ำอีกในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ที่ผู้ซื้อต้องจ่ายแพงเกินจริงถึง9.42% และ ณ เวลานั้นไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้เป็นครั้งที่ 3 ขึ้นอีกเมื่อใดซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีกแน่ ทางศศินทร์เห็นว่านักลงทุนควรได้รับทราบถึงข้อมูลความเสี่ยงตรงนี้เพราะการ ที่ทรัพย์สินหายไป 9-10% ในวันเดียวนี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยของทุกคนและตอน นั้นนักลงทุนทั่วไปส่วนใหญ่ยังไม่ทราบถึงความเสี่ยงตรงนี้เลย ทางศศินทร์จึงเผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ให้ทุกคนได้ทราบพร้อมกัน เพื่อช่วยแจ้งเตือนนักลงทุนนำข้อมูลนี้ไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลง ทุนในกองทุนทองคำต่อไป และข้อดีอีกประการของการเผยแพร่คือเมื่อทุกคนรู้ก็จะทำให้ผู้ที่แอบทำกำไร อยู่ ถ้ามีอยู่จริง ก็อาจจะไม่กล้าทำกำไรมากนัก
          ในบทวิจัยทางผู้เขียนได้แนะนำให้นักลงทุนรอก่อน หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็อย่าเพิ่งลงทุนในกองทองคำที่ใช้ราคาตลาด สิงคโปร์อ้างอิง แต่ถ้านักลงทุนอยากลงทุนในทองคำในตอนนั้น ผู้เขียนแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในกองทอง ETF ทั้ง 4 กองแทน เพราะจะไม่มีความเสี่ยงของราคาที่ผิดปกติดังกล่าว นอกจากนี้แล้วยังไม่ได้แนะนำให้นักลงทุนขาย แต่ถ้ามีนักลงทุนต้องการจะขายก็แนะนำให้ทยอยขาย อย่าขายทั้งหมดในวันเดียวเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไปขาย ในวันที่ราคาตกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
          6) ผู้ลงทุนควรทำอย่างไร
          เมื่อวันที่29 ก.พ. 2555 ทาง ก.ล.ต. และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้มีข้อสรุปในวิธีการคำนวณNAV ของกองทุนรวมไทยที่ลงทุนใน Gold ETF ว่าในกรณีที่ทาง บลจ.เห็นว่าราคาปิดของ Gold ETF ผิดปกติ ทาง บลจ.จะใช้ราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เช่น Indicative NAV มาใช้ในการคำนวณ NAV ของกองทุนไทย ส่วนในกรณีที่ราคาปิดเป็นปกติบลจ.จะใช้ราคาปิดของ Gold ETF มาคำนวณ NAV ของกองทุนไทย
          จากมาตรการใหม่นี้ทำให้ผู้เขียนเห็นว่านักลงทุน ของกองทุนเปิดทองคำในไทยที่ลงทุนในกองทุนทองคำสิงคโปร์น่าจะสบายใจได้แล้ว ว่าเหตุการณ์ราคาผิดปกติที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก โดยทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ทาง บลจ.จะใช้ในการพิจารณาว่าราคาปิดนั้นปกติหรือไม่ปกติ ทางผู้เขียนเห็นว่าราคาปิดที่ปกติจะไม่ควรต่างจากIndicative NAV เกิน 1-2% เพราะถ้าเกิน 1-2%ก็จะสามารถมีการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยงได้อยู่ตามที่เขียนอธิบายตัวอย่างไว้ในงานวิจัย

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 14-03-2012

·        กสิกรไทยลุยขายบอนด์บราซิล ลงทุนไม่เกิน1ปี ให้ผลตอบแทนสูง
·        กรุงไทยจัดเพิ่ม3กองบอนด์ ผลตอบแทนสูงสุด 4%
·        ธนชาตเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 2กองทุน 2ทางเลือก
·        ซีไอเอ็มบีฯขายกองตราสารหนี้ 6เดือน ชูยิลด์ 3.40%
·        เอ็มเอฟซีรุกทาร์เก็ตฟันด์ต่อเนื่อง ส่งสปอทลุยหุ้นไทย 7เดือน ชู 7%


กสิกรไทยลุยขายบอนด์บราซิล ลงทุนไม่เกิน1ปีให้ผลตอบแทนสูง
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.กสิกรไทย มองตราสารหนี้ประเทศบราซิลยังให้ผลตอบแทนสูง ส่ง 2 กองทุนซีรีส์ใหม่อายุ 6 เดือน และ1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 3.35%ต่อปี และ 3.90%ต่อปี ตามลำดับ พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เปิดขายไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 19 มีนาคม นี้
          นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าจากกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ไม่มากนัก แต่ต้องการทางเลือกในการลงทุนที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าเงินฝากบ ลจ.กสิกรไทย จึงยังคงเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศอายุประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนที่สอดคล้องกับแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวในระดับต่ำ
          โดยขณะนี้บลจ.อยู่ระหว่างการเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ1 ปี วาย (KFF1YY)  โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่  3.90% ต่อปีและกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ6 เดือน จี (KFF6MG) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุน 3.35% ต่อปี โดยทั้ง2 กองทุนจะลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้คุณภาพดีของประเทศบราซิล  พร้อมนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งส่วนของเงินต้นและผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศ
          สำหรับกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศของ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมุ่งเน้นการคัดเลือกตราสารที่มีคุณภาพและมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี ควบคู่ไปกับโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจ ซึ่งเรามองว่าตราสารหนี้ของประเทศบราซิลยังเป็นทางเลือกที่จะสร้างโอกาสใน การลงทุนที่ดีได้  โดยกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปีวาย (KFF1YY) จะลงทุนในตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในประเทศบราซิล ได้แก่Banco Bradesco, Itau Unibanco S.A.และ Banco do Brazil  ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก  FITCH  ที่ BBB+BBB+ และ BBB ตามลำดับ ร่วมด้วยตราสารหนี้  Union National Bank สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันดับความน่าเชื่อถือ  A+และเงินฝากของ Bank of China สาขามาเก๊า อันดับความน่าเชื่อถือ  A
          ส่วนกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน จี (KFF6MG) จะลงทุนในตราสารหนี้ประเทศบราซิลเช่นเดียวกันกับกองทุน KFF1YY และจะลงทุนในเงินฝากUnion National Bank สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  และเงินฝากธนาคาร  Standard Chatered สาขาดูไบ ซึ่งอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่  A+ และ AA- ตามลำดับ นางสาวยุพาวดีกล่าว
          นางสาวยุพาวดีกล่าวต่อว่า นอกเหนือจากกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ทั้ง 2 กองทุนข้างต้น ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทย ยังเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน เอซี (KPPTF 3MAC) โอกาสรับผลตอบแทนที่ 2.70%ต่อ ปี โดยกองทุนดังกล่าวมุ่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยหรือพันธบัตรธนาคารแห่ง ประ-เทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นและเน้นความปลอดภัย ของเงินต้นอีกด้วย โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนในกองทุนเปิดเคตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี วาย  (KFF1YY)กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน จี (KFF6MG) และกองทุนเปิดเคคุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือนเอซี (KPPTF3MAC)ได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ ถึง 19 มีนาคม 2555


KTAMจัดเพิ่ม3กองบอนด์

Source - ข่าวหุ้น (Th)

          KTAMจัดเพิ่ม3กองบอนด์ ผลตอบแทนสูงสุด4% มองดอกปีนี้คงที่3%
          บลจ.กรุงไทย มองอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้จะคงที่ระดับ 3% พร้อมออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 3 กองทุนในสัปดาห์นี้  ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด 4%
          นายสมชัยบุญนำศิริกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทยจำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่าสัปดาห์นี้บริษัทจะเปิดจำหน่าย 3 กองทุนตราสารหนี้ ประกอบด้วยกองทุนอายุ 3 เดือน 6 เดือนและ 1ปี ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 4.00% ต่อปี
          กองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 30 เสนอขายวันที่ 14 - 20 มีนาคม 2555 อายุ 6 เดือนมูลค่าโครงการ 5,000ล้านบาท เป็นกองทุนที่ลงทุนตราสารในประเทศ เงินฝาก ตั๋วแลกเงินบริษัทเอกชนไทยในสัดส่วน 23% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.35%ต่อปี
          กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3 เดือน 3 เสนอขายรอบใหม่ วันที่ 12-16 มีนาคม 2555 อายุโครงการ3 เดือน เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน เงินฝาก และตราสารหนี้สถาบันการเงินในประเทศประกอบด้วยพันธบัตรภาครัฐในประเทศ ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารไอซีบีซี ธนาคารกรุงศรีอยุธยาธนาคารกรุงไทย และตั๋วแลกเงินของภาคเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.90% ต่อปี
          กองทุนเปิดกรุงไทยเอฟไอเอฟ เพิ่มค่า 2 (KTFP2) เสนอขาย 9-16 มีนาคม 2555 อายุ 12 เดือน มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เงินฝาก ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 4.00% ต่อปี ทั้งนี้ กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ จะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
          นายสมชัย กล่าวต่อว่า ตลาดตราสารหนี้ของไทยยังคงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ประกอบกับการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงตัวอยู่ที่ระดับ 3.00% ต่อปี ไปจนถึงครึ่งหลังของปีนี้ ทำให้การลงทุนในตราสารอายุที่ยาวขึ้นเริ่มน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากส่วนต่าง อัตราผลตอบแทนเทียบกับตราสารระยะสั้น
          ด้านแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่าง ประเทศในช่วงที่ผ่านมา ยังมีการปรับลดลงจากกระแสเงินทุนไหลเข้าลงทุนในตราสารหนี้ในภูมิภาคเอเชีย และตลาดเกิดใหม่ต่างๆ ทั่วโลกทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ลดลง รวมถึงการกลับมาแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ดอลลาร์พรีเมี่ยมมีโอกาสปรับลดลง อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวม อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ต่างประเทศยังให้ผลตอบแทนใน รูปสกุลเงินบาทภายหลังการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างดีเมื่อ เทียบกับการลงทุนในประเทศ


บลจ.ธนชาตเสนอขายกองทุนตราสารหนี้2กองทุน2ทางเลือก
Source - พิมพ์ไทย (Th)

          นายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด  กล่าวว่า บริษัทฯ จะทำการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 11 (TFixedIncome11) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 6 เดือน  ผลตอบแทนประมาณ3.35% ต่อปี  มีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank  / ธนาคาร First Gulf Bank ประมาณ20% ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China ประมาณ 20%ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย GS Caltex ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย Axis Bank (India) / Indian Bank (India)ประมาณ 18.90%  ลงทุนในตั๋วแลกเงิน บมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส/ บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้  / บมจ.ภัทรลีสซิ่ง ประมาณ 21.00%   และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ประมาณ 0.10%  อายุประมาณ6 เดือน ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 3.6528% ต่อปี   โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.3028% ต่อปี
          และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y6 (T-FixFIFY6)  ระยะเวลาลงทุนประมาณ 12 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 4.00% ต่อปี มีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank / ธนาคาร First Gulf Bank  ประมาณ 22% ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ของ Bank of China ประมาณ 22% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย Bank of East  Asia ประมาณ 7.90%  ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย Axis Bank (India) / State Bank of India  ประมาณ24% ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย ICICI Bank (India)/Indian Bank (India)ประมาณ 24% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศประมาณ0.10% อายุประมาณ 12 เดือน ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 4.1505%ต่อปี  ประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.1505% ต่อปี โดยทั้งสองกองทุนเสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ วันที่ 13-19 มีนาคม 2555


บลจ.ซีไอเอ็มบีฯขายกองตราสารหนี้6M8ชูยิลด์3.40%

Source - กระแสหุ้นออนไลน์ (Th)

          นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด บริษัทในกลุ่มซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ ตราสารหนี้ 6M8" (CIMB-Principal EFI 6M8) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยกำหนด IPO ระหว่าง วันที่ 13-15 มี.ค.55
          กองทุน CIMB-Principal EFI 6M8 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ภาคธนาคาร และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกองทุนจะลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยผลตอบแทนของกองทุน CIMB-Principal EFI 6M8 ประมาณการที่ 3.40% ต่อปี(เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำก่อนเสียภาษีที่ 4.00 % ต่อปี)
          กองทุน CIMB-Principal EFI 6M8 เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแต่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากประจำ ด้วยการลงทุนระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยเฉพาะบุคคลธรรมดาที่ต้องการการลงทุนที่ผลตอบแทนไม่เสียภาษี ซึ่งกองทุนดังกล่าวยังป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ผู้ที่สนใจสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท


เอ็มเอฟซีรุกทาร์เก็ตฟันด์ต่อเนื่อง ส่งสปอทลุยหุ้นไทย7เดือนชู7%
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          เอ็มเอฟซีเปิดขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สปอท 7 ซีรีส์ 6 ทาร์เก็ตฟันด์ลงทุนในประเทศ ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 7% ภายใน 7 เดือน รับโอกาสเหมาะสมจากผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทยขยายตัวโดดเด่นในภูมิภาค และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับที่น่าพอใจ
          นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่ดีในปีนี้ จึงเป็นจังหวะการลงทุนในไทยที่เหมาะสม เอ็มเอฟซีจึงเปิดขายกองทุนเปิด SPOT 7S6 ที่ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 7% ภายในเวลา 7 เดือน
          โดยมีกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก และสามารถเลือกลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีความ ผันผวน โดยผู้จัดการกองทุนจะจัดสัดส่วนการลงทุนทั้งในตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ และเงินฝากให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดทุนและตลาดเงินแต่ละขณะ เพื่อโอกาสของผลตอบแทนที่ดีและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน  
          ทั้งนี้ ภายในระยะเวลา 7 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด SPOT 7S6 เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10.85 บาทเป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกัน หรือเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10.85 บาทและทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดทั้งหมด
          โดยผลตอบแทนที่คืนผู้ถือหน่วยลงทุนต้องไม่ต่ำกว่า 10.7 บาทต่อหน่วยลงทุน บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุน และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการไปยังกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน (MM-GOV) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงินที่มีความมั่นคง ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในประเทศ เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องของผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป  
          หากไม่เป็นไปตามคาดหมายภายในเวลาดังกล่าว กองทุนเปิด SPOT 7S6 จะเปิดโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมีสิทธิเลือกที่จะ ลงทุนต่อไป ซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม หรือขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการภายในเวลารับคำสั่งซื้อขายตามที่ระบุไว้ ในโครงการ และกองทุนยังคงตั้งเป้าหมายเลิกกองทุนหากผลตอบแทนถึง 7%
          กองทุนเปิด SPOT 7S6 เป็น กองทุนรวมผสมแบบไม่กำหนดสัดส่วนในตราสารทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง นักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 10,000 บาท           สามารถเลือกลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า SET50Futures

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 12 -03-2012

·        ไอเอ็นจี ปลื้ม กองเอเชียนฯ เพิ่มทุน 5พันล.
·        ทิสโก้ เปิดตัว2กองทุนน้องใหม่ลุยตราสารหนี้เกรดเอสนองคนไม่ชอบเสี่ยง
·        นลท.ไทย-เทศแห่ลุย IPO กองทุนอสังหาฯ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพียบ
·        ดึงญี่ปุ่นลงทุน Private Equity MFCตั้งเป้า 15% ต่อปีทุกโปรเจกต์
·        ไทยพาณิชย์รับแต่งตั้งบริหารเงินกอง PVD พนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย



ไอเอ็นจีปลื้ม
Source - ข่าวหุ้น (Th)

          กองเอเชียนฯ เพิ่มทุน5พันล.
          บลจ.ไอเอ็นจี กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล หลังปิดจองซื้อช่วง IPO ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. และเปิดให้ซื้อขายรอบใหม่ ส่งผลให้กองทุนต้องเพิ่มทุนจาก 3 พันล้านบาท เป็น 5 พันล้านบาท
          นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากได้ออกและเสนอขายกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผลซึ่งมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ING (L) Renta Fund Asian Debt (Local Bond)
          กองทุนมีนโยบายกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารตลาดเงิน และเงินฝาก ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินเดีย ฮ่องกง และจีน ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ และได้เปิดให้ผู้สนใจได้ลงทุนตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น
          ปรากฏว่า กองทุนดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักลงทุน ส่งผลให้มูลค่ากองทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดกองทุนได้ดำเนินการเพิ่มทุนจาก 3 พันล้านบาทเป็น 5 พันล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา
          ปัจจัยสนับสนุนให้กองทุนดังกล่าวได้รับความสนใจ จากนักลงทุน มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจเอเชียที่แข็งแกร่ง โดยเชื่อว่า มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีทิศทางลดลง เป็นผลให้ตราสารที่ลงทุน ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นตราสารที่มีอายุปานกลางและระยะยาวมีโอกาสได้รับกำไร จากราคาตราสารที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น
          ล่าสุดธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25% จากเดิม 6.25% มาอยู่ที่ 6.00% นอกจากนี้ การปรับอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เอเชียยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ของประเทศกลุ่มพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ภูมิภาคเอเชียมีปริมาณการลงทุนและการบริโภคภายใน ประเทศที่สูง เช่นเดียวกับการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ ดังนั้น ผู้ออกตราสารในประเทศจึงออกตราสารที่ให้ผลตอบแทน นั่นคือ ดอกเบี้ยรับที่สูงเพื่อดึงดูดนักลงทุน
          นายจุมพล กล่าวว่า ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจยุโรปยังคงน่าเป็นห่วง หลังจากที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซจาก "CCC" สู่ระดับ "C" (Junk Bond)
          และก่อนหน้านี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือกรีซสู่ระดับต่ำสุดที่ “C” จากเดิมที่ “Ca” ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในระบบการจัดอันดับของมูดี้ส์ จากแผนสว็อปพันธบัตร ที่อาจส่งผลให้นักลงทุนขาดทุนมากถึง 70%



บลจ.ทิสโก้เปิดตัว2กองทุนน้องใหม่ลุยตราสารหนี้เกรดเอสนองคนไม่ชอบเสี่ยง

Source - แนวหน้า (Th)

          นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทเปิดเสนอขายกองทุนใหม่2 กองทุน ได้แก่ "กองทุนเปิด ทิสโก้ตราสารหนี้โรลโอเวอร์ 3M3" และ "กองทุนเปิดทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพ 14" เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการลงทุนระยะสั้นเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการลงทุนความเสี่ยงสูงเปิดเสนอขายครั้งแรก 12-19 มีนาคม 2555
          "กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้โรลโอเวอร์ 3M3" (TISCO Roll Over Fixed Income Fund 3M3) เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่า เกณฑ์มาตรฐานโดยมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งหนี้และ/หรือเงินฝากที่เสนอขายใน ประเทศและ/หรือต่างประเทศ โดยกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน79% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนกรณีที่มีการลงทุนในต่าง ประเทศจะป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยกองทุนดังกล่าวเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นเนื่องจากจะเสนอขาย ทุกๆ 3 เดือน
          "กองทุนเปิดทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพ14"(TISCORollUpBondFund #14)ซึ่ง เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้และหรือเงินฝากที่เสนอขายในประเทศ และ/หรือต่างประเทศโดยกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนในกรณีที่มีการลงทุน ในต่างประเทศกองทุนจะป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนโดยจะ เสนอขายทุกๆ 6 เดือน



นลท.ไทย-เทศแห่ลุย IPO กองทุนอสังหาฯ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพียบ
Source - Investor Station (Th)

          "ซีไอเอ็มบี" ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กองทุนอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุนักลงทุนไทยและต่างชาติสนใจ IPO เพียบ เหตุรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำถึงปี 58 และลงทุน ใน 3 โครงการทำเลดี ภายใต้บริหารของโครงการแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเสนอขาย 8 - 16 มี.ค.นี้ เปิดจองซื้อหน่วยลงทุนขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท
          นางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กำหนดเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8 - 16 มี.ค. 55 เพื่อระดมทุนไปลงทุนในโครงการย่านใจกลางกรุงเทพฯ 3 โครงการรวมมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านบาท รองรับความต้องการลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งกองทุนดังกล่าวยังรับประกันผลตอบแทน ขั้นต่ำให้กับผู้ลงทุนจนถึงปี 58 เปิดจองซื้อหน่วยลงทุนขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท มูลค่าหน่วยละ10 บาท
          ทั้งนี้ มีนโยบายลงทุนด้วยการลงทุนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ (Freehold) สัดส่วน 80% ในโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท-ทองหล่อ และโครงการอาคาร พักอาศัยให้เช่า เซนเตอร์ พอยต์ เรซิเดนซ์ พร้อมพงษ์ รวมถึงลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) สัดส่วน 20% ในโครงการบ้านพักอาศัยให้เช่า แอล แอนด์ เอช วิลล่า สาทร ซึ่งมีอายุ 27 ปี นับตั้งแต่มีนาคม 2555
          ด้านนายสิทธิไชย มหาคุณ หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำการจัดจำหน่ายกองทุน ระบุว่า นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยให้ความสนใจกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิ การเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นทางเลือกที่เหมาะกับการลงทุนในช่วงนี้ ขณะที่ นักลงทุนยังเชื่อมั่นในการบริหารจัดการโครงการของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ รวมถึงการรับประกันอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำของกองทุน



ดึงญี่ปุ่นลงทุนPrivate Equity MFCตั้งเป้า15%ต่อปีทุกโปรเจกต์

Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.เอ็มเอฟซีเผย สินทรัพย์กอง Private Equity อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท เน้นลงทุนธุรกิจพลังงาน ล่าสุดดึงพันธมิตรธุรกิจจากญี่ปุ่นร่วมลงทุนอุตสากรรมหนักในไทยวางเป้าผลตอบแทนโปรเจกต์เฉลี่ย 15% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนประมาณ 3-5 ปี
          นายวิชชุ จันทาทับ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Private Equity บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัดเปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ที่บริหารในส่วนของกองทุนนิติบุคคลเอกชน (Private Equity) ประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยมุ่งนำเงินไปลงทุนในทุกธุรกิจทั้งพลังงานและไม่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ยกเว้นธุรกิจในภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดกำลังเจรจาดึงเม็ดเงินลงทุนของกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน บริษัทไทยที่ทำธุรกิจเป็นอุตสาหกรรมหนักซึ่งคาดว่าน่าจะเจรจาแล้วเสร็จได้ใน เร็วๆ นี้ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 1,100 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาร่วมลงทุนในลักษณะของพันธมิตรทางธุรกิจให้แก่บริษัทแห่งนี้ที่ เป็นบริษัทที่มีศักยภาพแต่มีปัญหาที่ต้องจัดการเท่านั้นเอง ซึ่งบริษัทกำลังสนใจที่จะขยายการลงทุนในส่วนของ Private Equity นี้เข้าไปยังการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยที่อาจจะมีปัญหาด้านการเงินหรือด้านการบริหารจัดการด้วยเช่น กัน ถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สามารถจะขยับเข้าไปลงทุนได้
          โดยในส่วนของกองทุนพลังงานเองปัจจุบันยังสามารถที่จะใส่เงินลงทุนเพิ่มได้อีกประมาณ 900-1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทสนใจที่จะลงทุนเพิ่มในบริษัทผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เกิน 10 เมกะ-วัตต์ต่อโครงการ เพราะบริษัทผู้ผลิตขนาดใหญ่จะไม่ค่อยสนใจเงินลงทุนจาก Private Equity เท่าไรนัก และมองว่าแนวโน้มของไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์กำลังเติบโตในไทยจึงเป็นธุรกิจที่มีอนาคตและน่าสนใจที่จะเข้าลงทุน
          นายวิชชุยังกล่าวอีกว่า ธุรกิจของ Private Equity ค่อนข้างจะเป็นธุรกิจเฉพาะฐานลูกค้าทั้งสถาบันและบุคคลที่มีเงินที่ค่อนข้าง จะเป็นความลับ ดังนั้น ในการหาลูกค้าหรือหาโปรเจ็คที่จะลงทุนบริษัทจะต้องทำการบ้านค่อนข้างมากใน การไปหาลูกค้าและโปรเจกต์ให้แมตช์กันให้ได้
          ดังนั้น ลูกค้ากองทุน Private Equity จะต้องมีความเข้าใจที่มากเพียงพอ โดยผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยประมาณ 15% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนประมาณ 3-5 ปี แม้ว่าโอกาสในความสำเร็จของการเข้าไปลงทุนอาจจะไม่มาก ใน 10 โครงการอาจจะมีสำเร็จแค่ 2-3 โครงการ อีก 5 โครงการทรงๆ ที่เหลือไม่สำเร็จ แต่โครงการที่ลงทุนแล้วสำเร็จจะสร้างผลตอบแทนที่สามารถครอบคลุมทุกโครงการที่ไม่สำเร็จได้ผลตอบแทน
          ที่คาดหวังจึงค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในบริษัทจะเข้าไปลงทุนประมาณ 30-35%ของทุนจดทะเบียนในบริษัททั่วไป ถ้าเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานก็ประมาณ 25% ของทุนจดทะเบียน
          ทั้งนี้ การเข้าไปลงทุนในบริษัทเป้าหมายจะมีทั้งบริษัทที่มีศักยภาพแต่ขาดเงินลงทุน ในลักษณะนี้อาจจะเพียงใส่เงินเข้าไปเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่มีปัญหาแต่มีศักยภาพในการทำธุรกิจอยู่ก็ต้องมาดูว่า ปัญหานั้นคืออะไร เพราะส่วนใหญ่การเข้าไปลงทุน Private Equity จะเข้าไปช่วยดูแลบริหารจัดการเพื่อ ฟื้นฟูบริษัทให้สามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้งด้วยเช่นกัน ในลักษณะนี้ก็อาจจะเข้าไปในเชิงของพันธมิตรทางธุรกิจที่จะมีส่วนร่วมในการ บริหารด้วยเช่นกัน
          "ส่วนรูปแบบของกองทุน Private Equity นี้ไม่เหมาะกับการที่จะนำมาทำเป็นรูปแบบของกองทุนรวมเพื่อให้นักลงทุนราย ย่อยลงทุนแต่ประการใด แม้ในต่างประเทศอาจจะมีการตั้งกองทุนรวมเพื่อเข้าไปลงทุนใน Private Equity บ้างก็ตาม แต่ถ้ามองความพร้อมและพัฒนาการ ในเรื่องนี้ของไทยเองคิดว่าไทยยังไม่พร้อมและ Private Equity นี้ยังเหมาะที่จะเป็นการลงทุนเฉพาะกลุ่มในส่วนของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคลที่มีความรู้และเงินทุนมากกว่า" นายวิชชุกล่าว

ภาพข่าว: บริหารเงิน

Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          โชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ลงนามสัญญาแต่งตั้งบริษัทจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งจดทะเบียนแล้ว กับ อัยยณัฐ ถินอภัยผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในโอกาสที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้รับความไว้วางใจให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยมีผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองหน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 8-03-2012

·        กสิกรจ่าย120ล้าน โปรโมชันกองภาษี
·        ทิสโก้บริหารกองหุ้นเข้าเป้า ลงทุนไม่ถึง1ปี คืนกำไรลูกค้า 11%
·        เอ็มเอฟซีลุ้นวายุภักษ์หนึ่งต่ออายุ เตรียมเสนอ 3 แนวทาง ต่ออายุ-ปิดกอง-ขายหุ้นทิ้ง
·        TMBAMเปลี่ยนค่าธรรมเนียม3กองทุน
·        บลจ.กิมเอ็งรอหุ้นพันจุดตั้งกองทุนซื้อ เล็งออกกองทุน 500 ล.
·        บลจ.ตบเท้าเปิดขายกองบอนด์ หลังดีมานด์ล้นชูผลตอบแทนเด่น
·        บลจ.ลดเกรดหุ้นกลุ่มประกันภัย อเบอร์ดีนขายทิ้งไทยรีฯ
·        ระยะสั้นราคาทองคำปรับลดลง ฟิลลิปมองแนวโน้มระยะยาวยังไปต่อ

กสิกรจ่าย120ล้านโปรโมชันกองภาษี
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          บลจ.กสิกรไทย เผยปี 2554 ผู้ลงทุนแห่รับโปรโมชัน ซื้อLTF-RMF ได้เงินสดคืนกว่า 120 ล้านบาท ติดใจอัดโปรโมชันต่อปีนี้
          นายอำพล โพธิ์โลหะกุลประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2554 ผู้ลงทุนที่มีสิทธิได้รับเงินคืน (Cash Back) จากรายการส่งเสริมการขายเมื่อซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มีจำนวนกว่า 8 หมื่นราย ยอดเงินลงทุน 1.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นมูลค่าคืนเงินกว่า 120 ล้านบาท
          "ยอดคืนเงินครั้งนี้เพิ่มขึ้นจากปี2553 กว่า 30% ผู้ลงทุนที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มขึ้น 14% ถือเป็นการจ่ายเงินในโปรโมชันสูงที่สุดในประวัติการณ์กองทุน" นายอำพล กล่าว
          อย่างไรก็ตาม จากผลตอบรับที่ดีปี 2555 บริษัทยังมอบเงินสดคืนในกองทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.-28 ธ.ค. 2555 สูงสุด 1.2 แสนบาทเช่นเดิม โดยเพิ่มสิทธิพิเศษเมื่อซื้อผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยที่สาขาธนาคารกสิกรไทย และทำรายการผ่านอินเทอร์เน็ตภายใน 30 เม.ย.นี้จะได้รับคะแนนสะสมพิเศษ 4 เท่า
          บลจ.ทิสโก้ แจ้งว่า กองทุนเปิดทิสโก้เซ็ท อิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% มีผลตอบแทนถึงเป้าหมาย 11% ก่อนกำหนด 1 ปี จึงได้คืนเงินผู้ลงทุน



บลจ.ทิสโก้บริหารกองหุ้นเข้าเป้า ลงทุนไม่ถึง1ปีคืนกำไรลูกค้า11%

Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ทิสโก้โชว์ผลงานโดดเด่น บริหาร "กองทุนเปิด ทิสโก้ เซ็ทอิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% กองที่ 2" เข้าเป้าหมายก่อนครบกำหนด สร้างกำไรแก่ผู้ถือหน่วย 11%ใช้เวลาลงทุนเพียงไม่ถึง 1 ปี ด้าน TISCO Wealth ชี้หุ้นไทยยังไปได้ต่อ หลังเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าลงทุนในภูมิภาคเอเชีย หนุนดัชนีตลาดหุ้นสดใส
          นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุน รวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด  เปิดเผยว่าจากที่ บลจ.ทิสโก้ ได้ทำการเสนอขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ เซ็ท อิควิตี้ ทริกเกอร์ 11%"กองที่ 2  ซึ่งมีอายุโครงการประมาณ 1 ปี  โดยเป็นกองทาร์เก ตฟันด์ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีเงื่อนไขสามารถเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 11% หรือ NAV มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11.0000 บาทได้นั้นขณะนี้  NAV ของกองทุนดังกล่าว ณ วันที่ 2 มีนาคม 2555 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 11.1381 บาทต่อหน่วย ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการได้ก่อนกำหนด พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ได้เป็นอย่างดี
          "ช่วงที่เราเปิดขายกองทุนทิสโก้ เซ็ทอิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% กองที่ 2 เป็นช่วงที่การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนและปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก  แต่ ด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่มีความแข็งแกร่ง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และเป็นโอกาสของนักลงทุนในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ราคาถูกเพื่อให้ได้รับผลตอบ แทนตามเป้าหมาย ซึ่งก็เป็นไปตามที่ได้คาดไว้ ทำให้เราสามารถปิดกองทุนเปิดทิสโก้ เซ็ท อิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% กองที่ 2  ได้ก่อนครบกำหนด และสร้างกำไรให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ถึง 11% โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง1 ปี" นายสาห์รัช กล่าว
          ด้าน TISCO Wealth ซึ่งเป็นบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนครบวงจรของกลุ่มทิสโก้ มองว่า  ในภาพรวมยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะหุ้นในภูมิภาคเอเชียในปีนี้  โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก
          เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของเอเชียในปีนี้จะยังคงมีการขยายตัวที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยถือได้ว่าปรับตัวขึ้นมาเร็วกว่าภูมิภาคในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้ระดับราคา ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน และเทียบกับเป้าหมายในปีนี้ที่ระดับดัชนีประมาณ 1,150-1,200 จุด นักลงทุนจึงควรพิจารณาเลือกกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคเอเชียมากขึ้นเพื่อ แสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว



'
เอ็มเอฟซี'ลุ้นวายุภักษ์หนึ่งต่ออายุ/ปิดกองฯขายหุ้นทิ้ง
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th)

          บลจ.เอ็มเอฟซีฯ ลุ้นบริหารต่อกองทุนวายุภักษ์หนึ่งหลังหมดอายุปี2555เตรียมเสนอ3แนวทางต่อรัฐ มนตรีคลัง แย้มบริหารปีสุดท้ายมีโอกาสปันผลพิเศษเอาใจผู้ถือหุ้น จากปี 2554 จ่ายน้อยแค่ 3% เผยไม่กระทบฐานะเหตุกำไรสะสมอื้อ
          นางสาวประภา  ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปี 2555 นี้กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง (VAYU1) ซึ่งบริษัทเป็นผู้บริหารจะครบอายุดังนั้นจึงมีแผนเสนอรัฐมนตรีว่าการ(รมว.)กระทรวงการคลังใน 3 แนวทาง คือ 1.ต่ออายุกองทุนดังกล่าวออกไป2.ปิดกองทุนและจัดตั้งกองใหม่ขึ้นมา และ3. ปิดกองทุนและขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาในตลาดหลักทรัพย์ฯ
          โดยทั้ง 3 แนวทางข้างต้น บลจ.เอ็มเอฟซีฯได้เสนอนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ(รมว.)กระทรวงการคลังซึ่ง เชื่อว่ากระทรวงการคลังไม่น่าจะเลือกแนวทางที่ 3 คือการปิดกองทุนและขายหุ้นออกมาในตลาดหลักทรัพย์ฯเนื่องจากกองทุนดังกล่าวมีขนาดสินทรัพย์กว่า 300,000  ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและจะต้องมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแน่นอน
          อย่างไรก็ตามจากกรณีที่กระทรวงการคลังมีนโยบายลด สัดส่วนการถือหุ้นของกิจการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและที่ไม่ได้จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วยการขายหุ้นให้กองทุนรวมวายุภักษ์ ไม่ว่าจะเป็นบมจ.ธนาคารกรุงไทย  บมจ.ท่าอากาศยานไทย บมจ.อสมทและบมจ.กสท โทรคมนาคม  เป็นต้น ทำให้มีความเป็นไปได้ที่กระทรวงการคลังยังมีแผนต่ออายุกองทุนวายุภักษ์ออกไป
          "หากมีการปิดกองทุนรวมวายุภักษ์ และขายสินทรัพย์ออกไป ก็จะกระทบต่อสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบลจ.เอ็มเอฟซีฯ ให้ลดลงประมาณ 80,000 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากค่าธรรมเนียมในการบริหารที่ได้จากกองทุนดังกล่าวจะหายไป จากที่ผ่านมาจะได้รับปีละ20 ล้านบาท"
          นางสาวประภา กล่าวต่อว่า บริษัทเตรียมที่จะพิจารณาจ่ายปันผลเพิ่ม สำหรับผลการดำเนินงานปี 2555 ของกองทุนรวมวายุภักษ์ หลังจากปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลลดลงเหลือ 3% จากปกติที่จ่าย 5-6% ทั้งนี้เพื่อ สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนสนใจลงทุนต่อและกองทุนดังกล่าวยังมีกำไรสะสมสูงมาก ด้วยจึงไม่มีปัญหาในการจ่ายเงินปันผลเพิ่ม อีกทั้งกำไรส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนในหุ้นแต่นำไปลงทุนในตราสารหนี้แทน
          อนึ่งกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง มีอายุ 10 ปี ก่อตั้งเมื่อปี 2545  มีขนาดกองทุน ณ วันจัดตั้ง 100,000 ล้านบาท ระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไป 70,000 ล้านบาท ส่วนอีก 30,000 ล้านบาท  ลงทุนโดยกระทรวง

TMBAMเปลี่ยนค่าธรรมเนียม3กองทุน
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ทหารไทยเปลี่ยนค่าธรรมเนี่ยม กองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น 3 กองทุนมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2555 เป็นต้นไปพร้อมออกโปรโมชัน Pro 2 You เมื่อลงทุนคู่กองทุนทองคำ และกองทุนพันธบัตรทั่วโลก
          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทหารไทย จำกัด รายงานว่า บลจ.ทหารไทยได้เปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน (Management Fee)ของกองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นภายใต้การจัดการของบลจ.ทหารไทย จำนวน 3 กองทุน เพื่อให้เหมาะสมกับความซับซ้อนในการบริหารจัดการกองทุนที่แตกต่างกัน ได้แก่ เปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการของกองทุนเปิดทหารไทยธนบดี จากปัจจุบันในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.4000 บาท เป็น 0.3000 บาทกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ปัจจุบันในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.1800 บาท เป็น 0.2000 บาทและ กองทุนเปิดทหารไทยธนพลัส จากปัจจุบันในอัตราไม่เกินร้อยละ  0.3000  บาทเป็น  0.3500 บาท
          ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2555 เป็นต้นไป เพื่อให้บริษัทฯดำเนินกลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนได้อย่างเหมาะสม
          นอกจากนี้ บลจ.ทหารไทย ได้แก่โปรโมชัน ใหม่ Pro 2 You รับเงินลงทุนพิเศษ200 บาทเมื่อลง ทุนในกองทุนคู่ ได้แก่กองทุนเปิด ทหารไทย โกลด์ ฟันด์ หรือกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ สิงคโปร์ และคู่กองทุนพันธบัตรทั่วโลก ทั้งกองทุนเปิดทหารไทย Global Bond Fund หรือกองทุนเปิดทหารไทย โกลบอล บอนด์ ปันผล
          โดยกองทุนทองคำทั้ง 2 กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว คือ SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน EFT GOLD ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนโยบายการบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนในทองคำ
          ขณะที่ Global Bond Fund ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียว (Master Fund) คือ กองทุนTempleton Global Bond Fund เพื่อ สร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับ การเพิ่มค่าของสินทรัพย์และการเพิ่มค่าของสกุลเงินดอลลาร์โดยลงทุนในตราสาร หนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่หรือลอยตัว ออกโดยรัฐบาลและองค์กรที่ต้องเกี่ยวข้องกับรัฐบาลทั่วโลก



บลจ.กิมเอ็งรอหุ้นพันจุดตั้งกองทุนซื้อ
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          บลจ.กิมเอ็ง นัดพบดัชนี 1,000 จุด เล็งออกกองทุนหุ้น500 ล้านบาท
          นายไววิทย์ อุทัยเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กิมเอ็ง เปิดเผยว่า การจัดตั้งกองทุนหุ้นยังอยู่ในแผนที่จะเสนอขายภายในปีนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน แต่มองว่าขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะเหมาะสม เนื่องจากดัชนีราคาหุ้นปรับตัวสูงเกินไป
          "เชื่อว่าดัชนีหุ้นจะมีการปรับตัวลงอีกรอบและจะ เป็นจังหวะเสนอขาย เพราะดัชนีหุ้นไทยมีลักษณะขึ้นลงเป็นรอบๆ โดยมองว่าระดับดัชนีเหมาะสมคือบริเวณ 1,000 จุด และคาดว่าดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะลงไปต่ำที่ระดับ 700-800 จุดอีกแล้ว เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปยังไม่ดีนัก" นายไววิทย์กล่าว
          สำหรับกองทุนหุ้นเป็นหนึ่งในแผนขยายสินทรัพย์รวมของบริษัทแตะ 1 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากปีที่ผ่านมามีสินทรัพย์เพียง 380 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีกองทุนเปิดกิมเอ็งบริหารเงินเพียงกองเดียว
          ด้านนายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟินันซ่า กล่าวว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจคาดว่าโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นไปได้ยากมาก และในช่วงปลายปี 2555 มี ความเป็นไปได้ที่ ธปท.อาจจะต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะปัญหาแรงกดดันของเงินเฟ้อ
          "เราคาดว่ารัฐบาลคงจะพยายามอย่างเต็มที่ในการ ตรึงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันให้นานที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระต่อประชาชน ดังนั้นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงทรงตัว แต่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในอนาคต การลงทุนในระยะเวลาสั้นๆประมาณ 3-6 เดือน จะทำให้ผู้ลงทุนไม่เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี หากมีการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป" นายธีรพันธุ์กล่าว



บลจ.ตบเท้าเปิดขายกองบอนด์ หลังดีมานด์ล้นชูผลตอบแทนเด่น
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ. ตบเท้าเปิดขายกองทุนบอนด์  ฟินันซ่า เปิด FAM FIPR3M1 ชูผลตอบแทน 3.25% ต่อปี  เปิดขายถึงวันที่ 12 มีนาคมนี้ ขณะที่บลจ.ธนชาตคลอด "Fixed Income 10 และ T-FixFIFY5"เริ่มไอพีโอแล้ว ถึง 12 มี.ค.นี้ ด้าน บลจ. ซีมิโก้ คลอด "S-FI 1Y1" รับดีมานด์ ไอพีโอแล้ว ถึง 13 มี.ค.นี้
          นายธีรพันธุ์  จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่าจำกัด เปิดเผยว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจคาดว่าโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยนโยบาย นั้นเป็นไปได้ยากมาก
          และในช่วงปลายปี 2555  มี ความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะปัญหาแรงกดดันของเงินเฟ้อ โดยคาดว่าทางรัฐบาลคงจะพยายามอย่างเต็มที่ในการตรึงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ให้นานที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระต่อประชาชน
          ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วที่สุดน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2555  ซึ่งในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงทรงตัวแต่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในอนาคต  การลงทุนในระยะเวลาสั้นๆประมาณ 3-6 เดือน จะทำให้ผู้ลงทุนไม่เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีหากมีการปรับเพิ่มขึ้น ของอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป ดังนั้น ฟินันซ่าจึงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นกองทุนเปิดฟินันซ่าตรา สารหนี้พลัส โรลโอเวอร์ 3เดือน1 (FAM FIPR3M1) จะเปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ตั้งแต่ 5-12 มีนาคม 2555 นี้ ด้วยประมาณการผลตอบแทนที่ 3.25% ต่อปี  โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท
          โดยFAM FIPR3M1 เป็น specific fund หรือกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่มีการกระจายการลงทุนน้อย กว่าเกณฑ์มาตรฐานมีนโยบายที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ที่มีความ สามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือเงินฝาก ของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลง ทุนได้ (Investment Grade)
          "เราจะเปิดให้มีการซื้อและขายคืนหน่วยลงทุน ทุกๆ 3 เดือนโดยประมาณ นับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวมกองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลง ทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนและ/หรือ เงินฝาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร ในระยะเวลานานประมาณ 3 เดือน สำหรับการลงทุนแต่ละรอบกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศซึ่งเราจะทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน" นายธีรพันธุ์ กล่าว
          นายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาต จำกัด กล่าวว่า บริษัทเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 10 (TFixedIncome10)และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศY5 (T-FixFIFY5) โดยทั้ง 2 กองทุนเสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ วันที่ 6-12 มีนาคม 2555
          สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 10 (TFixedIncome10) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ3.35% ต่อปี  โดยมีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank / ธนาคารFirst Gulf Bank (ประมาณ 20% ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย Banco Itau BBA S.A.ประมาณ 20%
          ขณะเดียวกัน กองทุนจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดยธนาคารในประเทศอินเดีย ได้แก่ โดย Axis Bank (India) / Indian Bank (India) ประมาณ18.90% ลงทุนในตั๋วแลกเงินบมจ.อยุธยาแคปปิตอล ออโต้ลีส / บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ / บมจ.ภัทรลีสซิ่ง ประมาณ 21.00%และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ประมาณ 0.10% ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 3.6428% ต่อปี โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ0.2928% ต่อปี
          นอกจากนี้แล้ว กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y5 (T-FixFIFY5)ระยะเวลาลงทุนประมาณ 12 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.90% ต่อปี มีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank /ธนาคาร First Gulf Bank ประมาณ 20%ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ของ Bank of China ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย Axis Bank (India) / State Bank of India ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย ICICI Bank (India) / Indian Bank (India) ประมาณ  20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย Banco Itau BBA S.A. ประมาณ 19.90% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ประมาณ 0.10%อายุประมาณ 12 เดือน ผลตอบแทน รวมของตราสารประมาณ 4.2377% ต่อปี ประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.3377% ต่อปี
          ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) ซีมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนเปิดซีมิโก้ตราสารหนี้ 1Y1 หรือ Seamico Fixed Income Fund 1Y1 (S-FI 1Y1) อายุประมาณ 1 ปี เริ่มเปิดไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 13 มีนาคม นี้ โดยกองทุนจะให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 4.05%
          สำหรับกองทุน S-FI 1Y1 จะ เข้าไปลงทุนเงินฝากในประเทศ เช่น ธนาคารธนชาตธนาคารทิสโก้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารกรุงไทยธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขณะเดียวกันในต่างประเทศจะเข้าไปลงทุนในเงินฝากสกุลอาหรับเอมิเรตส์ดีแรห์ม ธนาคารยูเนี่ยนเนชั่นแนล แบงก์ เงินฝากสกุลอาหรับเอมิเรตส์ดีแรห์ม ธนาคารอาบูดาบี คอมเมอร์เชียล แบงก์ ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรดส์ ในสัดส่วน 43%
          ขณะเดียวกัน กองทุนแบ่งสัดส่วนเข้ามาลงทุนในหุ้นกู้ / ตั๋วแลกเงิน เช่น บมจ. อยุธยาแคปปิตอล ออโต้ ลีส  บมจ. ภัทรลิสซิ่งบมจ.อยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลีสซิ่ง บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง บมจ. โนเบิลดีเวลลอปเม้นท์บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และ บมจ.สามารถเทเลคอม ในสัดส่วนการลงทุน 49.50%


บลจ.ลดเกรดหุ้นกลุ่มประกันภัยอเบอร์ดีนทิ้งไทยรีฯ

Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th)

          กองทุนรวมลดน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มประกันภัย หลังไตรมาส4 ปีที่แล้วขาดทุนบักโกรก5,406ล้านบาทจากผลกระทบน้ำท่วมบลจ.อเบอร์ดีนฯขายทิ้งหุ้นไทยรับประกันภัยต่อล็อตใหญ่3.82%เช่นเดียวกับบลจ.วรรณฯให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด หั่นเหลือไม่ถึง10% ของพอร์ตเผยเหตุ2ปัจจัยหลักทั้ง จ่ายค่าสินไหมพุ่ง และผลตอบแทนพอร์ตลงทุนลดจากดอกเบี้ยขาลงกดดันจากผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลาย ปีที่ผ่านมาทำให้ภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯปรับลดลง โดยไตรมาส 4 /54 บจ.มีกำไรสุทธิรวม 71,459 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน52.91%ขณะที่ทั้งปียังมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 6.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง  4.30%
          สำหรับกลุ่มธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตจำนวน 17บริษัท ในงวดไตรมาส 4/54มีผลขาดทุนสุทธิรวม5,406.06 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ2,421.31 ล้านบาทส่วนผลการดำเนินงานทั้งปี มีกำไรสุทธิรวม3,802.46  ล้านบาท ลดลง 58 % จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 9,103.28 ล้านบาท
          "ฐานเศรษฐกิจ" สำรวจไป ยังบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ถึงนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจ ประกันภัยและประกันชีวิตพบว่าได้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประกันภัยลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์น้ำท่วม
          โดยบลจ.อเบอร์ดีนฯ ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันที่ได้ชื่อว่ามีนโยบายการลงทุนระยะยาว3-5ปีนั้นล่าสุดแจ้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ว่า เมื่อวันที่5 มีนาคมที่ผ่านมาได้ขายหุ้นบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (THRE)คิดเป็น3.8146%จนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นหลังการขายลดลงเหลือ  2.2668%
          อนึ่งบมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ รายงานผลขาดทุนสุทธิไตรมาส4 /2554 จำนวน2,055.73 ล้านบาทเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 188.85 ล้านบาท  และฉุดให้ผลประกอบการทั้งปี 2554  ขาดทุนสุทธิ 1,660.48 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 580.46 ล้านบาท
          ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์  รอง กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณฯ กล่าวว่า สำหรับกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทที่นโยบายส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนใน หุ้นที่มีโอกาสได้ทั้งกำไรจากส่วนต่างราคา และเงินปันผล ซึ่งหุ้นกลุ่มประกันภัยประกันชีวิตนั้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 จึงทำให้บริษัทได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนลงต่ำกว่าเดิมที่ลงทุนสัดส่วนประมาณ 10% ของพอร์ตการลงทุน โดยอิงจากน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคป
          "ปีนี้หุ้นกลุ่มประกันภัยไม่น่าสนใจจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการย่ำแย่ จากผลกระทบน้ำท่วม และยังเป็นช่วงดอกเบี้ยขาลง ที่จะทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตบริษัทประกันฯ ลดลงเนื่องจากเงินลงทุนส่วนใหญ่ จะอยู่ในพันธบัตรรัฐบาล"ดร.วินกล่าว
          นางพัณรัชต์  บรรพโต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซีฯ กล่าวว่าสำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารบริษัทต่อหุ้น กลุ่มประกันภัยนั้น ได้ให้น้ำหนักการลงทุนไม่มาก หรือไม่เกิน1% ของน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายน้อยอยู่แล้ว
          นางแสงจันทร์  ลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทยฯ กล่าวว่า หากประเมินถึงความน่าสนใจต่อธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตนั้น ที่ผ่านมากองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัท ได้ลงทุนน้อยอยู่แล้ว หรือคิดเป็นไม่เกิน 1% ของพอร์ต เนื่องจากเป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องและปีนี้บริษัทยังได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนเป็น "น้อยกว่าตลาด"
          ทั้งนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลายปี2554ทำ ให้กระทบต่อความสามารถในการจ่ายปันผล ขณะที่การลงทุนในหุ้นกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตโดยทั่วไปจะเน้นการลงทุน เพื่อรับปันผลด้วย ขณะที่ปีนี้มีหุ้นราคาถูกและมีโอกาสเติบโตสูง ให้เลือกลงทุนอีกมาก อาทิ กลุ่มอุปโภคบริโภคและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อในประเทศ ตลอดจนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำวันละ300 บาทและได้รับประโยชน์จากภาษี เป็นต้น
          นายประเสริฐ  ขนบ ธรรมเนียม รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทยฯ กล่าวว่า สำหรับกองทุนรวมทั่วไปภายใต้การบริหารของบริษัท ไม่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตเนื่องจากเป็นหุ้น ที่ไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายมีเพียงการลงทุนในรูปกองทุนส่วนบุคคลเท่านั้น ขณะที่ลูกค้าให้น้ำหนักการลงทุนน้อยอยู่แล้ว หากอิงจากมาร์เก็ตแคปของกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน ประมาณ 1% เศษ เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคปตลาดรวม(ณ วันที่5 มี.ค.2555 กลุ่มประกันภัยและชีวิต มีมาร์เก็ตแคปรวม 1.37 แสนล้านบาท ขณะที่มาร์เก็ตแคปรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ที่ 9.48  ล้านล้านบาท)
          อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทยฯประเมินว่า สำหรับธุรกิจประกันภัย แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่เมื่อเทียบกับโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ทั้งในส่วนของธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตในระยะยาวแล้วถือว่า ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจเนื่องจากยังสามารถเติบโตได้ในระดับตัวเลข 2 หลักทุกปี ดังนั้น จากนี้ไปจะต้องติดตามเพื่อประเมินว่า หลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว ธุรกิจประกันภัยยังเดินต่อได้หรือไม่
          นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ปี2554 ผลประกอบการโดยรวมของบจ. ปรับลดลง ได้แก่ แรงกดดันต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบจากการบันทึกมูลค่าความเสียหายจาก สถานการณ์น้ำท่วมในไตรมาส 4
          อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตัวเลขยอดขายในปี 2554 ที่มีจำนวน 9.1 ล้านล้านบาท จะพบว่าเพิ่มขึ้น 22.23 %  เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาส4 ปี2554 มียอดขายรวม 2.11 ล้านล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีก่อน13.09%ซึ่งตัว เลขดังกล่าวแสดงถึงศักยภาพของบจ.และทำให้เห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในไตรมาส4 เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น หากบจ.มีการบริหารจัดการที่ดี สามารถจัดการต้นทุนขายได้มีประสิทธิภาพ กำไรสุทธิของบจ. ก็จะกลับมาเติบโตได้


ระยะสั้นราคาทองคำปรับลดลง กูรูมองแนวโน้มระยะยาวยังไปต่อ

Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          โบรกเกอร์กองทุนรวมประเมินระยะสั้นราคาทองคำยังไม่ชัดเจนและมีโอกาสปรับลดหากหลุด 1,700 US $/oz. แต่ระยะยาวแนวโน้มราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า แบงก์ชาติตลาดเกิดใหม่ยังสะสมทองคำ
          นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund Super Mart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศ ไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เรายังคงแนะนำต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยระยะสั้นโอกาสที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะค่อยๆ ปรับตัว สูงขึ้นยังมีความเป็นไปได้อยู่ จากกระแสเงินทุนไหลเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง การเก็งกำไรในกองทุนน้ำมันบนปัจจัยความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังมีความน่า สนใจอยู่สำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบความเสี่ยง แต่ยังต้องเน้นย้ำว่า สถานการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การเก็งกำไรยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดกองทุนน้ำมันที่แนะนำยังคงเป็น K-OIL ของ บลจ. กสิกรไทย ตามเดิม
          ขณะที่ราคาทองคำปรับตัว ลดลงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าการปรับตัวของราคาทองคำระยะสั้นยังไม่ชัดเจน (มีโอกาสที่จะลงต่อได้หากหลุด 1,700 US$/oz.) แต่เชื่อว่าแนวโน้มราคาทองคำระยะยาว ยังเป็นขาขึ้น โดยเรายังเชื่อว่าในระยะยาวแล้วค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มที่อ่อนค่า ลง และความเป็นไปได้ที่ QE3 จะออกมายังมีอยู่ ขณะที่ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ยังคงสะสมทองคำอยู่ และการที่ FED คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำจนถึงปี 2014 ทำให้เราแนะนำให้เริ่มทยอยเก็บสะสมกองทุนทองคำบางส่วน กองทุนทองคำแนะนำ  T -Gold bullion-H ที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน"
          ส่วนการลงทุนระยะยาวเรายังคงแนะนำ Wait and See ต่อเนื่อง จากสัปดาห์ที่แล้ว โดยเรายังเน้นการลงทุนอย่างระมัดระวัง ความเสี่ยงปัญหาหนี้ยุโรปยังคงอยู่ เช่นเดียวกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว โดยมีราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นตัวเร่ง สำหรับเงินก้อนใหม่ที่จะนำมาลงทุนในกองทุนรวมเราแนะนำให้พักเงินไว้ใน Money Market Fund ตามเดิม กองทุนตลาดเงินที่แนะนำยังคงเป็น PCASH ของ บลจ.ฟิลลิป
          อย่างไรก็ตาม หลังจากกรีซได้รับเงินช่วยเหลือรอบ 2 และการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมอีก 5.3 แสนล้านยูโรของ ECB ในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ระยะสั้นความเสี่ยงของปัญหาหนี้ยุโรปลดลง อย่างไรก็ตาม ตลาดได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ปัจจัยใหม่ที่จับตาคือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งคาดว่ามีโอกาสสูงที่จะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าที่คาด ทำให้ตลาดยังคงไม่สามารถปรับตัวไปไหนได้ไกลนัก
          ขณะที่สหรัฐตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาสัปดาห์ นี้ให้ภาพการฟื้นตัวที่ต่อเนื่อง แต่เริ่มมีสัญญาณที่ทำให้การฟื้นตัวต่อจากนี้ไม่ชัดเจน โดยเรายังคงเห็นการทบทวนการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/54 ปรับขึ้นเป็น 3% จากเดิม 2.80%, ตลาดบ้าน และตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ยอดทำสัญญาขายบ้านพุ่งแตะระดับสูงสุดเกือบ 2 ปี ขณะที่ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้น แต่ด้วยราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตให้ชะลอ ตัวลง ปัจจัยที่ไม่ชัดเจนนี้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน
          สำหรับราคาทองคำระหว่างวันดิ่งลงกว่า 100  U S $/oz. ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปิด 1,711.89 US$/oz. (-3.44% WoW) เนื่องจาก  FED  ไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเพิ่มเติม (QE3) ส่วนราคาน้ำมัน เรายังคงต้องจับตาความตึงเครียดในตะวันออกกลางต่อไป ขณะที่ยังมีความกังวลว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในรอบนี้จะส่งผลกระทบ ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น ทดสอบแนวต้านที่ 110 US$/bbl. ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา ราคาน้ำมันสัปดาห์ที่แล้วปิดที่ 106.70 US$/bbl