วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 30/04/2012

·         ทิสโก้ยิ้มรับกอง 'โกลด์ ฟันด์' เพิ่มทุนอีก 1พันล.รองรับดีมานด์
·         กรุงไทยโตขั้นเทพ Q1 พุ่งพรวด 13%
·         แอสเซทพลัสเชียร์ซื้อ 'หุ้นสหรัฐ' ศก.ฟื้น-QE3หนุน
·         ไอเอ็นจีปลื้ม 'ไอเอ็นจี ไทยบาลานซ์ฟันด์' ได้ 5- Star Morningstar
·         กรุงศรีออกกองตราสารหนี้ 6 เดือน จ่าย 3.20% ต่อปี

บลจ.ทิสโก้ยิ้มรับกองโกลด์ ฟันด์ เพิ่มทุนอีก1พันล.รองรับดีมานด์
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ทิสโก้ ยิ้ม "กองทุนเปิด ทิสโก้โกลด์ ฟันด์" นักลงทุนตอบรับเพียบ ล่าสุดเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท รองรับกลุ่มนักลงทุนเพิ่ม ระบุทิศทางทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้น
          นายธีรนาถ รุจิเมธาภาสกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทิสโก้จำกัด  เปิด เผยว่า ภายหลังจากที่ได้เปิดกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ฟันด์ ส่งผลให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งขนาดของกองทุนปัจจุบันมีอยู่ 914 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงเพิ่มทุนการลงทุนในกองทุนดังกล่าวอีก  1,000 ล้านบาท จากเดิม 1,000 ล้านบาทรวมเป็นเงินทุนทั้งสิ้น 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของผู้ซื้อหน่วยลงทุนที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก
          "ความต้องการลงทุนในทองคำขณะนี้ยังคงมีอยู่เป็น จำนวนมาก เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทุกคนรู้จักดี และการลงทุนไม่ซับซ้อนมากนัก รวมถึงทิศทางราคายังอยู่ในช่วงขาขึ้นจากความต้องการทองคำในตลาดโลกที่มีอยู่ เป็นจำนวนมาก ทั้งจากธนาคารกลางในประเทศต่างๆ ที่หันมาถือครองทองคำแทนเงินสกุลดอลลาร์และยูโร  สำหรับเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,950 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์" นายธีรนาถ กล่าว
          สำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟ(Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนซื้อขาย ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง  มีนโย บายมุ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำหักด้วยค่า ธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนโดยกองทุนดังกล่าวจัดตั้งและจัดการ โดย World Gold Trust Services, LLC ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยงานของกองทุน SPDR Gold Trust โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน นอกจากนั้นกองทุนอาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงิน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการลดความเสี่ยง
          นอกจากนี้แล้วผู้ลงทุนที่ไม่ชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงตอนนี้ทาง บลจ.ทิสโก้ ได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิด ทิสโก้ตราสารหนี้คืนกำไร 3M2 และกองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 6M2 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝาก ทั้งในหรือต่างประเทศ และป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน  เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ซึ่งเปิดเสนอขายครั้งแรกจนถึงวันที่ 30 เมษายน2555 นี้


บลจ.กรุงไทยโตขั้นเทพ
Source - ข่าวหุ้น (Th)

          บลจ.กรุงไทยโตขั้นเทพ Q1กองทุนพุ่งพรวด13%
          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทยเผยกองทุนโตกว่า 13% มากสุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน หลังออกกองทุนเทสโก้โลตัส 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินทรัพย์ติดอันดับ 3 มากกว่า 4 แสนล้าน รองแค่กสิกรไทย และไทยพาณิชย์เท่านั้น
          นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของบลจ.กรุงไทยในปีนี้จะออกมาดี โดยปัจจุบันกองทุนเติบโตมากกว่า 13% ขณะที่อุตสาหกรรมเดียวกันขยายตัวเพียง 7%
          สาเหตุที่กองทุนของกรุงไทยเติบโตมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีการออกกองทุนใหม่เป็นจำนวนมาก และขายได้มากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนของเทสโก้โลตัส ที่มีมูลค่ากว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า เทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท หรือ TLGF ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างสูง
          สำหรับ TLGF เป็นกองทุน รวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุน ไม่กำหนดอายุโครงการ และมีลักษณะโครงการแบบระบุเฉพาะเจาะจง มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของ กำไรสุทธิที่ไม่รวมกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการประเมินค่าหรือการสอบทาน การประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ และ/หรือ สิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ประจำรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
          นายสมชัย กล่าวว่าปัจจุบัน บลจ.กรุงไทย มีขนาดสินทรัพย์เป็นอันดับ 3 ของอุตสาหกรรม ประมาณ 4 แสนล้านบาท รองจากบลจ.กสิกรไทย ที่มีขนาดสินทรัพย์ 8 แสนล้านบาท และไทยพาณิชย์ประมาณ 6 แสนล้านบาท ซึ่งมองว่าในอนาคตบลจ.กรุงไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมากตามตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


เชียร์ซื้อ'หุ้นสหรัฐ'ศก.ฟื้น-QE3หนุน
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          แอสเซท พลัสเชียร์ซื้อหุ้นสหรัฐ รับเศรษฐกิจฟื้นตัว ลุ้น QE3 หนุนปลายปี
          น.ส.จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐทยอยแจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาอยู่ใน เกณฑ์ดี และการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะทำให้ผู้ลงทุนเชื่อมั่นตลาดหุ้น สหรัฐมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี
          นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบ 3 (QE3)ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นปลายปีก็จะส่งผลดีต่อหุ้น ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะซื้อหุ้นสหรัฐ
          กองทุนเปิดแอสเซท พลัสเอสแอนด์พี 500 (ASP-S&P500)ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนSPDR S&P500 ETF ผลตอบแทน 6 เดือนย้อนหลัง ณ วันที่20 เม.ย. 2555 อยู่ที่ 12.66%ขณะที่ดัชนี S&P500 ให้ 11.33%และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
          นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้กล่าวว่า กระแสตอบรับกองทุนเปิดทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ จนมีขนาด914 ล้านบาท บริษัทจึงเพิ่มทุนอีก1,000 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท โดยมองราคาทองคำยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เป้าหมายปีนี้ 1,950 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์


บลจ.ไอเอ็นจีมองหุ้นไทยรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ปลื้ม 'ไอเอ็นจี ไทยบาลานซ์ฟันด์' ได้รับ5- Star Morningstar
Source - พิมพ์ไทย (Th)

          นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศ ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมามีความผันผวน มาจากความกังวลกับการลุกลามของปัญหาหนี้ในกลุ่มยูโรโซน เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลต่อการแก้ปัญหาหนี้ของประเทศอิตาลีและสเปนที่ หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเงินก็จะมีผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ เนื่องจากอิตาลีและสเปนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 และ 4 ของกลุ่มยูโรโซนโดยเฉพาะ อิตาลีซึ่งเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในกลุ่มประเทศยุโรปรวมถึง ความกังวลต่อการที่เนเธอร์แลนด์มีโอกาสที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จากฟิทช์ หากสถานะการคลังไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการปรับลดยอดขาดดุล รวมทั้งความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ หลายตัวออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนใน 1Q12 ขยายตัวที่ระดับ 8.1% YoY ซึ่งชะลอตัวลงจาก 4Q11 ที่ระดับ 8.9% YoY จึงทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นเอเชียมีแรงขายทำกำไรและมีความผันผวนจากปัจจัยลบ
          ในส่วนตลาดหุ้นไทยนั้น เรายังคงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนถึงแม้ว่าในช่วง ที่ผ่านมาตลาดจะมีความผันผวนจากการขายทำกำไรบางส่วน เพราะนับตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 16% (12 เมษายน 2555) แต่หากมองภาพโดยรวม นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไทย โดยทางIMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการณ์ GDP ไทยในปี 2012 และ 2013 เพิ่มขึ้นโดยอยู่ที่ 5.5% และ 7.5% ตามลำดับ (เมษายน 2555)  สอดคล้องกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์ไว้ที่ 5.7% ซึ่งการเติบโตนั้นมาจากการลงทุนของภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นนับตั้งแต่วิกฤตน้ำท่วมเมื่อปลายปี2554 ที่ผ่านมา และการบริโภคของภาคประชาชนจากการปรับเพิ่มขึ้นค่าครองชีพ รวมทั้งนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะทยอยออกมา
          นายจุมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า "กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์"ได้รับการปรับเพิ่ม MorningStar Rating (Overall) อยู่ในระดับ 5-Star ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 (ข้อมูล ณ 31 มีนาคม 2555) (www.morningstar thailand.com) จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีที่อยู่ที่ 103.90% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ 72.20% โดยในช่วง 3 เดือนย้อนหลังผลตอบแทนอยู่ที่ 13.14%, 6 เดือนเท่ากับ 21.82%, 1 ปีเท่ากับ 11.91% ในขณะที่ดัชนีเปรียบเทียบอยู่ที่ 7.84%, 15.46%, 8.24% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 30 มีนาคม2555) (www.ingfunds.co.th)
          "ทาง บลจ.ไอเอ็นจี เชื่อมั่นว่าการบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้กับนักลงทุน เป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นในการบริหารกองทุนอยู่เสมอจึงทำให้กองทุนเปิดไอเอ็น จีไทยบาลานซ์ฟันด์ ได้รับการจัดอันดับในระดับ 5-Star กองทุนนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุน ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน เพราะจุดเด่นของกองทุนนี้คือความยืดหยุ่นในการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสาร หนี้ และมีการปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างสมดุล (Portfolio Rebalancing) ให้เหมาะสมกับสภาพการลงทุนในขณะนั้น จึงทำให้กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด"


"กรุงศรี"ออกกองตราสารหนี้จ่ายผลตอบแทน3.20%ต่อปี

Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M18 (KFFIX6M18) อายุประมาณ 6 เดือน เสนอขายระหว่างวันที่ 2-8 พ.ค.ที่จะถึงนี้ ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท จ่ายผลตอบแทนประมาณ 3.20% ต่อปี
          นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M18 (KFFIX6M18) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย สัดส่วนการลงทุน 8% ตั๋วแลกเงินธนาคารเกียรตินาคิน สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 24% ตราสารหนี้ออกโดยธนาคาร Banco Bradesco S.A. สัดส่วนการลงทุน 24% ตราสารหนี้ออกโดยธนาคาร Banco Itau Bba S.A สัดส่วนการลงทุน 24% โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.20% ต่อปี
          บลจ.กรุงศรี มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงอยู่ที่ระดับ 3% ต่อไปอย่างน้อยถึงปลายไตรมาส 3 แนว โน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับการปรับขึ้นราคาสาธารณูปโภคต่างๆ ของภาครัฐ ยิ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงกดดันเงินเฟ้อไทยให้เพิ่มสูงขึ้นในระยะถัดจากนี้ไป จึงมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 4 ดังนั้น การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเหมาะกับนักลงทุน ที่แสวงหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก นายฉัตรพีกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 26/04/2012

·       - แห่ขาย LTF 1.9หมื่นล. นักลงทุนกำไรเท่าตัว-ลดเสี่ยงหุ้น RMF ขายแค่พันล้าน
·        -ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแข่งเดือด บลจ.ใหญ่ค่าฟรีถูก-บลจ.เล็กปรับกลยุทธ์สู้
·       - KTAM ปลื้ม 3 เดือนแรก AUMโต 13%
 - เตรียมเปิดฉาก "มันนีเอ็กซ์โป" 17-20 พ.ค.นี้

แห่ขายLTF1.9หมื่นล.นักลงทุนกำไรเท่าตัว-ลดเสี่ยงหุ้น'RMF'ขายแค่พันล้านไตรมาส1

Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          ไตรมาสแรกปีนี้นักลงทุนแห่ขายกองทุน LTF สูง 1.9 หมื่นล้านบาท RMF แค่พันล้าน เหตุนักลงทุนกำไรเท่าตัว-ลดความเสี่ยงจากหุ้นขึ้นมากช่วง 3 ปี
          บริษัท มอร์นิ่ง สตาร์ เปิดเผยว่าไตรมาสแรกสิ้นสุด ณ วันที่ 30 มี.ค. 2555 มีเงินไหลออกจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวม 2.01 หมื่นล้านบาทโดยกว่า95% หรือ 1.91 หมื่นล้านบาทมาจากกองทุน LTF ที่เหลือ 5% หรือ 1,000 ล้านบาท เป็นของกองทุน RMF
          ทั้งนี้ การขาย LTF ในปีนี้ถือเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่จัดตั้งกองทุนและสูงขึ้นมากเมื่อเทียบไตรมาสแรกของปี2554 ที่มีเงินไหลออกจาก LTF เพียง 3,004 ล้านบาทและจากกองทุน RMF จำนวน 461.39 ล้านบาทเท่านั้น
          สาเหตุที่เงินไหลออกจากกองทุน LTF ค่อนข้างมาก เกิดจาก 3 ปัจจัย คือ 1.ผู้ถือหน่วยลงทุนขาย หลังจากถือลงทุนครบ 5 ปีปฏิทินตามเงื่อนไขโดยลงทุนมาตั้งแต่ปี2551 หรือก่อนหน้า 2.นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเท่าตัวจากการลงทุนในกองทุน LTF โดยเฉพาะที่ลงทุนในปี 2551 ช่วงสิ้นปี ซึ่งจากสถิติคือช่วงเวลาที่มีเงินลงทุนในกองทุนLTF มากที่สุด ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่จึงตัดสินใจขายหน่วยลงทุนออกมาและ 3.นักลงทุนบางส่วนอาจต้องการใช้เงินหรือต้องการลดความเสี่ยงลงทุนในหุ้น เนื่องจากตลาดหุ้นขึ้นมากตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
          ทั้งนี้ เงินที่ไหลออกจาก LTF ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา อาจมากกว่า 40%ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน LTF ในปี 2551 ซึ่งมีมูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท
          สำหรับกองทุน RMF มีเงินลงทุนไหลออกน้อยกว่า LTF ถือเป็นเรื่องปกติเนื่องจากมีข้อจำกัดในการขายคืนมากกว่า เช่นผู้ลงทุนจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี
          อย่างไรก็ตาม คาดว่าเงินลงทุนส่วนใหญ่จะไหลกลับเข้าลงทุน LTF และ RMF อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะไตรมาส 4 เหมือนทุกปี ซึ่งจากสถิติพบว่าตลาดหุ้นจะขึ้นช่วงท้ายปี ดังนั้น หากรอซื้อปลายปีมีโอกาสสูงที่จะซื้อในต้นทุนสูง จึงแนะนำการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยเป็นทางเลือก
          สมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน LTF ในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีจำนวน 1.50 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,161 ล้านบาท หรือ1.45% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 1.48 แสนล้านบาท
          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กสิกรไทย ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดในกองทุน LTF สูงสุด 30.83% มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 4.63 หมื่นล้านบาทรองลงมา บลจ.ไทยพาณิชย์ 3.77 หมื่นล้านบาท ส่วนแบ่ง 25.11% และ บลจ.บัวหลวง 2.27 หมื่นล้านบาทส่วนแบ่ง15.11%
          กองทุน RMF มีสินทรัพย์รวม 9.82 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 5,497 ล้านบาท หรือ5.92% จากสิ้นปีก่อน โดย บลจ.กสิกรไทยครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งเช่นเดียวกัน


ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแข่งเดือด บลจ.ใหญ่ค่าฟรีถูก-บลจ.เล็กปรับกลยุทธ์สู้

Source - ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          แหล่งข่าวจากผู้บริหารบลจ.เผยธุรกิจกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพแข่งดุเดือด หลังกดค่าธรรมเนียมให้ถูกลงรวมถึงไม่เรียกเก็บค่าบริหารหากผลตอบแทนไม่ได้ ตามเป้าที่ตั้งไว้ ชี้บลจ.ใหญ่ได้กำไรจากธุรกิจนี้น้อยมากแต่ใช้กลยุทธ์บุกถึงสมาชิกขายกองทุน รวมเสริมสร้างกำไรให้บริษัทแทน
          แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แห่งหนึ่งระบุว่า การแข่งขันธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปีที่ผ่านมาค่อนข้างดุเดือด โดยเฉพาะบลจ.ใหญ่ๆ ซึ่งจะใช้กลยุทธ์การลดค่าธรรมเนียมการบริหาร หรือบางแห่งจะใช้กลยุทธ์ไม่เก็บค่าธรรมเนียมหากผลตอบแทนไม่เป็นไปตามเป้า หมายที่ว่างไว้ ส่งผลให้บลจ.ขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาสู้ศึกเพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดใน ธุรกิจนี้ได้น้อยมาก โดยการแข่งขันส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้จะเป็นบลจ.5 อันดับแรกที่มีส่วนแบ่งการตลาดและมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากที่สุดนั้นเอง
          ในขณะที่บลจ.ใหญ่เองก็ได้กำไรในส่วนการบริหาร จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพน้อยมาก แต่ส่วนใหญ่จะได้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจึงมีการเข้าถึงสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยง ชีพเพื่อเพิ่มช่องทางการขายกองทุนรวม เช่นการเสนอขายกองทุน LTF-RMF ให้กับสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแทน
          "นอกจากจะมีการแสวงหาลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพใหม่ เช่น บริษัทขนาดกลาง หรือขนาดเล็กที่มีลูกจ้างน้อยมาเข้ากองทุนพูลฟันด์ (Pooled Fund ) แล้วก็จะมีการแข่งขันแย่งชิงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขนาดใหญ่โดยใช้กลยุทธ์ลดค่าธรรมเนียม หรือฟรีค่าธรรมเนียมดึง AUM เข้ามาเพิ่มด้วยเช่นกัน"
          บลจ.เล็ก-กลางปรับกลยุทธ์สู้ศึกค่าฟรี
          ขณะที่นางสาวชนันท์ดา ปันยารชุน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บลจ.ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า บลจ.ทหารไทยนั้นจะเน้นการให้ความรู้นโยบายการลงทุนโดยเฉพาะการใช้ Employee's Choice เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกเลือกลงทุนตามเป้าหมายรวมถึงการรับ ยอมรับความเสี่ยงของตัวเอง ทั้งนี้เรามองว่าทาร์เก็ตของลูกค้าเรานั้นจะเป็นบริษัทขนาดกลางและพอมีความ รู้ความเข้าในการลงทุน เช่นบริษัทหลักทรัพย์ หรือบล. และบลจ. เป็นหลัก ส่วนการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นเราคงไม่ได้ไป แข่งขันโดยเฉพาะเรื่องค่าธรรมเนียม แต่เราจะโฟกัสไปที่คุณภาพและคุณค่าที่สมาชิกจะได้รับในการใช้บริการจากเรา
          ส่วนนางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้จัดการ บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวถึงการแข่งขันธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่า ทิศทางธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นบลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คงไม่ได้เข้าไปแข่งขันในเรื่องของค่าธรรมเนียม ค่าจัดการ ซึ่งเราคงมองที่ความเหมาะสมของลูกค้าของเรา อาจจะเป็นไปได้ว่าอาจจะเติบโตช้าเมื่อเทียบกับบลจ.อื่น ซึ่งเราจะเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน รวมถึงเป็นที่ปรึกษา และใกล้ชิดกับลูกค้าเป็นหลัก
          ส่วนทางด้านนายธีรพันธ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า เราจะมีการขยายช่องทางการขายให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับนักลงทุน เรามองว่าช่องทางดังกล่าวจะสร้างฐานลูกค้ารายย่อยให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นเรามองว่า Cyber branch ก็จะเป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจส่วนนี้เติบโตด้วยเช่นกัน


KTAMปลื้ม3เดือนแรกAUMโต13%
Source - ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          บลจ.กรุงไทย ยิ้ม 3 เดือนแรก มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการเติบโต 13% หรือราว 70,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าทั้งปีเติบโต 20% เร่งออกกองทุนอีทีเอฟ กองทุนอินฟราฯ และกองทุนรวมอสังหาฯ รับการเติบโต
          นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM ในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมามีการเติบโตค่อนข้างดี ในขณะที่ AUM อุตสหกรรมกองทุนรวมโตประมาณ 7% แต่ในส่วนของบลจ.กรุงไทยเองเติบโตประมาณ 13% หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2554 เรามียอดขายกองทุนประมาณ 111 กองมูลค่า 176,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ยอดขายกองทุนในเฉพาะกองทุน FIF เติบโตประมาณ 84%
          ทั้งนี้ในปีนี้เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยโนบายจะคง ที่ หรือลดลงในช่วงปลายปีอุตสหกรรมกองทุนรวมก็น่าจะได้รับอานิสงค์ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ก็ยังไม่มีระดมเงินฝากกันรุนแรงเหมือนในช่วงดอกเบี้ย ขึ้น ขณะเดียวกันกองทุนเองก็ได้รับอนิสงค์จากการไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะธนาคารประเทศจีน ที่ออกพันธบัตร หรือที่เรียกว่า ติ๋มซำบอนด์ หรือประเทศบราซิล เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อกลับมาเป็นค่าเงินบาท หรือทำ Fully Hedgeg เช่นตอนนี้ที่เราออกกองทุนตราสารหนี้ 1 ปีก็ให้ผลตอบแทนประมาณ 4%
          ในขณะที่ตราสารหนี้ไทยเองให้ผลตอบแทนประมาณ 3% ส่วนเงินฝากก็อยู่ประมาณ 3% หรือหุ้นกู้ 4% เมือหักภาษีแล้วผลตอบแทนก็ยังสู้กองทุนรวมไม่ได้
          "ในปีนี้เราตั้งเป้าเติบโตประมาณ 20% โดยช่วง 3 เดือนแรกเราออกกองทุนประมาณ 53 กองทุน มูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่เหลือต่อจากนี้เราก็จะมีโปรดักส์ที่หลากหลายให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนไมว่าจะเป็นกองทุน ETF ฮั่งเส็ง รวมถึงกองทุน ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ นอกจากนี้ก็จะมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่กำลังพิจรณากันอยู่อีกด้วย" นายสมชัยกล่าว
          สำหรับการขยายธุรกิจกองทุนรวมไปยังสาขาธนาคาร กรุงไทยในส่วนของภูมิภาคนั้นถือว่าได้รับการตอบรับที่จากนักลงทุน ซึ่งในปีที่ผ่านมาเราได้นักลงทุนจากภูมิภาค 30% นครหลวง 70% ซึ่งในปีนี้เราตั้งเป้าไว้ว่าจะดึงนักลงทุนจากภูมิภาคเพิ่มขึ้นเป็น 40% และนครหลวงประมาณ 60% โดยที่ผ่านมา นักลงทุนในส่วนของภูมิภาคทางสาขาแบงก์สามารถดึงลูกค้าส่วนนี้เข้ามาลงทุนใน กองทุนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท และกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ เป็นต้น
          นายสมชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น เรามีเป้าหมายในการคงลูกค้าเดิม รวมถึงเจาะกลุ่มบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ ส่วนกองทุนส่วนบุคคลนั้นเราก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน รัฐวิสาหกิจ รวมถึงสถาบันการศึกษา สหกรณ์ออมทรัพย์อีกด้วย


เปิดฉากมันนีเอ็กซ์โป17-20พ.ค.นี้
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          เตรียมเปิดฉากมันนี เอ็กซ์โป 2012 วันที่ 17-20 พ.ค.นี้แบงก์เตรียมแห่ขนแคมเปญร่วม
          นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo เปิดเผยว่า งานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 12 Money Expo 2012  ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม 2555  ธนาคาร บริษัทการเงิน (นอนแบงก์)บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทผู้ค้าทองคำ/โกลด์ฟิวเจอร์ส รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม 232 แห่ง พร้อมเข้าร่วม ภายใต้แนวคิด"UNLIMITED FUTURE : อนาคตไร้ขีดจำกัด" โดยในปีนี้ ธนาคารและสถาบันการเงิน พร้อมที่จะส่งแคมเปญเด่นมาให้ ผู้เช้าชมงานได้เลือกใช้บริการอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น กู้ทันใจ ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% ทั้งกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ กู้ซื้อมอเตอร์ไซค์ กู้ส่วนบุคคล กู้ทำธุรกิจเอสเอ็มอี กู้เรียนต่อ ทำบัตรเครดิต ลงทุนต่อยอดความมั่งคั่ง ทั้งการลงทุนในหุ้น กองทุน ทองคำตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ ประกันชีวิต ประกันภัย ประกันสุขภาพ เงินฝากสลากออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งปีนี้นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 2 ที่ ย้ายมาจัดที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งความสำเร็จในการย้ายสถานที่เห็นได้จากยอดผู้เข้าชมงานมีจำนวนสูงที่ สุดกว่าทุกปีที่ผ่านมาถึง 800,000 คน และมียอดธุรกรรมทางการเงินทั้งสินเชื่อและเงินลงทุนรวมมูลค่ากว่า120,000 ล้านบาท

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 11-04-2012

·         ทิสโก้ ส่ง 'โกลด์ ลิ้งค์' สตรัคเจอร์ฟันด์ลงสนาม ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น
·         วรรณมองหุ้นไทยน่าสนสุดในอาเซียน ราคาถูก-กำไรดี-ปันผลสูง
·         ไอเอ็นจีคาดหุ้นไทยปรับฐานในเดือนนี้
·         แอสเซท พลัส เตรียมออกกองทุน "แอสเซท พลัส สตาร์ 2"

ทิสโก้ส่ง'โกลด์ ลิ้งค์'สตรัคเจอร์ฟันด์ลงสนาม
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น รับผลตอบแทนที่ดีหากราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้น
          บลจ.ทิสโก้ส่ง กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ลิ้งค์ คอมเพล็กซ์รีเทิร์น กองสตรัคเจอร์ฟันด์อิงราคาทองคำ ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้นพร้อมเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีหากราคาทองคำปรับ ตัวเพิ่มขึ้น ตอบโจทย์คนชอบเสี่ยงต่ำและต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากไอพีโอครั้งเดียว 10 - 23 เม.ย. 55
          นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ จะเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ลิ้งค์ คอมเพล็กซ์รีเทิร์น อายุ 1 ปี ซึ่งเป็นกองทุนรวมพิเศษที่มีการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากประมาณ 97% และส่วนที่เหลืออีกประมาณ 3% จะลงทุนในสัญญาออปชั่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ London Gold PM Fixing
          โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าราคาทองคำทุกสิ้นเดือนสูงกว่าราคาตั้งต้นที่กองทุนลงทุน ผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนสะสมเดือนละ 0.5% ต่อปี ดังนั้นถ้าราคาทองคำทุกสิ้นเดือนสูงกว่าราคาทองคำ ณ วันแรกที่กองทุนลงทุนผลตอบแทนสูงสุดในหนึ่งปีที่กองทุนหรือผู้ลงทุนมีโอกาส ได้คือ 6% ต่อปี แต่ถ้าในเดือนใดราคาทอง ณ สิ้นเดือนเท่ากับหรือต่ำกว่าราคาทอง ณ วันที่กองทุนลงทุนครั้งแรกในเดือนนั้นผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 0% แต่จะไม่กินเงินต้น ดังนั้นในกรณีเลวร้ายสุด เช่นราคาทองคำไม่ขึ้นเลยผู้ลงทุนก็ได้เงินต้นคืน
          กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเสี่ยงจาก การลงทุนที่ต่ำ นั่นคือต้องการความปลอดภัยของเงินต้น ขณะเดียวกันก็ต้องการโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก ด้วยสินทรัพย์อื่นที่ผูกไว้ ซึ่งคือออปชั่นอิงราคาทองคำ
          ด้าน TISCO Wealth ซึ่ง เป็นบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนครบวงจรของกลุ่มทิสโก้ มองว่า เป็นจังหวะดีในการลงทุน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำปรับฐานลงแรง และน่าจะยังเป็นขาขึ้น ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนที่มีมุมมองที่เป็นบวกกับการลงทุนในทองคำ คาดหวังผลตอบแทนประมาณ 6% ต่อปี โดยไม่มีความเสี่ยงเรื่องเงินต้นกองทุนนี้ก็น่าจะเป็นคำตอบ ทั้งนี้ จะเปิดเสนอขายครั้งเดียว 10 - 23 เม.ย. 2555 นี้ จองซื้อขั้นต่ำ 20,000 บาท
          นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เปิดกองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 กองทุนสามารถ สร้างผลการดำเนินงานได้อย่างน่าพอใจ โดยกองทุนสามารถจ่ายคืนผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุน ด้วยวิธีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติให้ผู้ลงทุนจำนวน 2 ครั้ง รวม 1 บาท ต่อหน่วยลงทุน คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 10% ของเงินลงทุนเริ่มแรก ภายในระยะเวลาประมาณ 11 เดือน ชนะดัชนีชี้วัด MSCI All Country World ถึง 16%
          จากประสบการณ์ของทีมผู้จัดการกองทุนในการบริหารกองทุน ASP-STARS และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐ ที่ส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเปิดเสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ 2 ในช่วงครึ่งหลังของเดือน เม.ย.นี้



'วรรณ'มองหุ้นไทยน่าสนสุดในอาเซียน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          บลจ.วรรณมองหุ้นไทยน่าสนใจที่สุดในตลาดอาเซียน ราคาถูก-กำไรโตดี-ปันผลสูง มองกรอบดัชนีปีนี้ 1,080-1,290 จุด ดับฝันตลาดหุ้นไทยทำสถิติสูงสุดใหม่ เชื่อรอบเศรษฐกิจขาขึ้นครั้งนี้ไปได้แค่ 1,450-1,480 จุด ส่วนทองคำต้องทำใจหลังมองต่างเชื่อปีนี้ไม่หวือหวาให้กรอบ 1,500-1,780 ดอลล์ เท่านั้น
          ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ในปี 2555 นี้ ในภาพรวมสินทรัพย์ที่ยังน่าลงทุนเรียงตามลำดับ ได้แก่ 1) ตราสารหนี้เอเชีย 2) หุ้นเอเชีย 3) หุ้นสหรัฐ 4) น้ำมัน 5) ตราสารหนี้โลก และ 6) ทองคำ ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเองบริษัทมองเป้าหมายในปีนี้ไว้ที่ 1,290 จุด
          โดยคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะโตประมาณ 17% คิดที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ประมาณ 12.5 เท่า และมองจุดต่ำสุดของปีไว้ที่ 1,080 จุด ซึ่งหากเทียบกับตลาดในกลุ่มประชาคมอาเซียนด้วยกัน คือสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ละฟิลิปปินส์ แล้ว สัดส่วน P/E จะอยู่ที่ 14.5, 14.0, 15.0 และ 17.0 เท่า ตามลำดับ ซึ่งในแง่ของราคาหุ้นตลาดหุ้นไทยยังถือว่าถูกกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคเดียวกัน
          อย่างไรก็ตามในรอบเศรษฐกิจขาขึ้นครั้งนี้ของไทย มองว่าตลาดหุ้นไทยจะไปได้ไกลสุดประมาณ 1,450-1,480 จุดเท่านั้น ในช่วงปลายปี 2013 เพราะมองว่าเศรษฐกิจขาขึ้นในรอบนี้จะไปสูงสุดที่ประมาณปี 2014 ดังนั้นหากตลาดหุ้นไทยจะกลับไปที่ระดับสูงสุดเดิมที่ประมาณ 1,700 จุด คงต้องรอในรอบเศรษฐกิจขาขึ้นในรอบหน้า ไม่น่าจะเป็นรอบนี้แต่ประการใด
          โดย กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มหุ้นคุณค่าปันผล (1VAL-D) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนหลักของกองทุนหุ้นของบริษัท ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น 12 ตัว กระจายไปในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นเลือกหุ้นคุณภาพดีและจ่ายปันผลสูงในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมไม่เกิน 2 บริษัท จะเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้านี้ได้
          ดร.วิน กล่าวเสริมว่า ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์เองในปีนี้ที่โดดเด่นจะเป็นน้ำมัน ตามมาด้วยโลหะอุตสาหกรรม ทองคำ ในขณะที่สินค้าเกษตรกลับดูยังไม่น่าสนใจเท่าไรนัก ในส่วนของทองคำเองในปีนี้ถือว่าไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก บริษัทมองเป้าหมายราคาไว้เพียง 1,750-1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่แนวรับล่างอยู่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์
          เหตุผลสำคัญ คือ ดีมานด์จากการลงทุนในทองคำที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของดีมานด์ในทองคำในปัจจุบันหายไปค่อนข้างมาก เพราะในดีมานด์การลงทุนประมาณ 60% เป็นการลงทุนในระยะสั้น ซึ่งมุมมองทางเทคนิคของการลงทุนในทองคำเมื่อยังเป็นภาพขาลง นักลงทุนกลุ่มนี้ก็ยังไม่เข้ามาลงทุน นี่จึงทำให้ภาพการลงทุนในทองคำปีนี้ไม่ค่อยโดดเด่นนัก


บลจ.ไอเอ็นจีคาดหุ้นไทยปรับฐานในเดือนนี้
Source - พิมพ์ไทย (Th)

          นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ไอเอ็นจี (ประเทศ ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเศรษฐกิจ โลกที่เริ่มกลับมาดูดีขึ้น ทั้งจากตัวเลขการจ้างงานและการบริโภค รวมทั้งดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ ทำให้นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐ อยู่ในช่วงการฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการหดตัวของภาคการผลิตในยูโรโซน จึงทำให้มีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากนับจากต้นปี 2555 นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิ 85,449 ล้านบาท (5 เม.ย. 2555)และตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.95
          อย่างไรก็ตาม มองว่าในเดือนเมษายนนี้อาจเห็นการปรับฐานหรือการขายทำกำไรระยะสั้นออกมาบ้าง หากพิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น (P/E) ของไทยที่อยู่ที่ระดับ 11.9 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย ex-Japan ที่อยู่ที่ระดับ11.7 รวมทั้งการที่ เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นความกังวลได้ว่ามีโอกาสที่นักลงทุนอาจขายทำกำไรบางส่วนออกไปบ้าง ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นไทยเป็นระยะ
          แต่หากมองภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นไทยยังมีความน่า สนใจในการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของไทยที่จะมาจากการเติบโตการ บริโภคของภาคประชาชนภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนเป็นหลัก รวมถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจภาย หลังภาวะอุทกภัยครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมา และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับประมาณการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไทยในปี 2555 จาก ร้อยละ 4.9 เป็น ร้อยละ 5.7 จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังสามารถที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้นการลงทุนในช่วงเวลานี้นักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นมี การปรับฐาน โดยมองหาหุ้นที่มีพื้นฐานดีหลายบริษัทที่มีราคาถูกและถือลงทุนในระยะยาว


แอสเซท พลัส เตรียมออกกองทุนแอสเซท พลัสสตาร์2
Source - กระแสหุ้นออนไลน์ (Th)

          นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า บลจ.แอสเซท พลัส เตรียมออกกองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ 2 ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเม.ย.นี้ เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกและให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้เอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงการให้น้ำหนักการลงทุนตามดัชนีชี้วัดและยังมีการบริหาร กองทุนแบบเชิงรุก โดยกองทุนดังกล่าวกำหนดอายุการลงทุน 18 เดือน แต่จะทยอยขายทำกำไร ด้วยวิธีรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ(NAV) ปรับขึ้นทุก 5% จากราคาพาร์ที่ 10 บาท
        สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐที่ส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสม ในการเปิดขายกองทุนดังกล่าว ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายนนี้
 ในส่วนของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ กองแรกซึ่งจัดตั้งไปเมื่อปลายเดือนเม.ย.ปีก่อน มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ โดยกองทุน จ่ายคืนผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 1 บาท ต่อหน่วยลงทุน คิดเป็น ผลตอบแทนประมาณ 10% ของเงินลงทุนเริ่มแรก ภายในเวลาประมาณ 11 เดือน ผลตอบแทนของกองทุน ชนะดัชนีชี้วัด MSCI All Country World ถึง 16% โดยนับตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.54 ถึงวันที่ 2 เม.ย.55 ผลตอบแทนของดัชนีชี้วัด ติดลบไปประมาณ 6%
        ปัจจุบัน กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัท ขนาดใหญ่ ประมาณ 20 บริษัท ที่เป็นผู้นำธุรกิจและเป็นที่รู้จักทั่วโลก มีการเติบโตของ ธุรกิจในระดับสูง และมีราคาที่น่าลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน เช่น หลักทรัพย์ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 3-04-2012

·        ซีไอเอ็มบีขาย "เดลี่ อินคัม" บริหารยืดหยุ่น
·        แลนด์แอนด์เฮ้าส์ตั้งเป้า "ผู้นำธุรกิจกองทุนอสังหาฯ"
·        บัวหลวงโชว์กองหุ้น Q1ผลตอบแทน 24.69%
·        KKFund ปิด Target Fund กองที่ 2 ของปีนี้ ทะลุเป้า 4 เดือน 7%
·        กรุงไทย-ธนชาต-กรุงศรี ชิงเงินกองบอนด์

ซีไอเอ็มบีคขาย"เดลี่ อินคัม" บริหารยืดหยุ่น

Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน
          บลจ.ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล เปิดขาย กอง iDAILY 30 มี.ค.-5 เม.ย. 2555 นี้ ชูกลยุทธ์บริหารที่ยืดหยุ่นหวังเพิ่มผลตอบแทนเหนือกองทุนตราสารตลาดเงินทั่วไป พร้อมแบ่งประเภทหน่วยลงทุนเป็น 3 ประเภท ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน
          นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเสนอขาย กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เดลี่ อินคัม (iDAILY) ระหว่างวันที่ 30 มี.ค.-5 เม.ย. 2555 นี้ โดยเป็นกองทุนตราสารตลาดเงินที่จะมีการมองหาโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ด้วยไม่เกิน 79% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน
          แต่ในเบื้องต้นกรอบการลงทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประมาณ 25-30% เท่านั้น โดยในส่วนที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศนั้นจะมีการปิดความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ทั้งหมด โดยกองทุน iDAILY นี้ จะแบ่งหน่วยลงทุนเป็นหลายประเภท Multi Share Class คือ 1. iDAILY-A (Accumulation) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากส่วนต่างมูลค่าเงินลงทุน (Capital Gain) 2. iDAILY-R (Auto Redemption) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอผ่านการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี และ 3. iDAILY-D (Dividend) เหมาะกับนักลงทุนที่เป็นบริษัทจำกัดและสถาบันการเงินที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอในรูปเงินปันผล
          กองทุน iDAILY นี้ จะมุ่งหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากกองทุนตราสารตลาดเงินปกติ โดยการเพิ่มโอกาสในการลงทุนไปในตราสารหนี้ต่างประเทศซึ่งอาจมีผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนอยู่ในตราสารหนี้ในประเทศเพียงอย่างเดียว เพราะกลุ่มบริษัทแม่ของบริษัทเองมีการลงทุนในตราสารหนี้ในเอเชียมาเป็นเวลายาวนานมากแล้ว ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงโอกาสในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
          นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า กองทุน iDAILY นี้เป็นกองทุนที่มีความยืดหยุ่นในการบริหารมากกว่ากองทุนตราสารตลาดเงินโดยทั่วไป โดยสามารถจะลงทุนในตราสารหนี้ชั้นดีในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในประเทศ หรือการปรับเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มผลตอบแทน เป็นต้น ซึ่งคาดว่าผลตอบแทนของกองทุน iDAILY จะสูงกว่ากองทุนตราสารตลาดเงินของบริษัทที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐเพียงอย่างเดียวประมาณ 0.30% และคาดว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการบริหารกองทุนนี้ในอีก 1-2 เดือน ข้างหน้าจะอยู่ประมาณ 3.0% หรือเทียบเท่ากับผลตอบแทนของเงินฝากก่อนหักภาษีที่ประมาณ 3.53% ซึ่งถือว่าเป็นระดับของผลตอบแทนที่น่าสนใจสำหรับกองทุนที่มีเอาไว้เพื่อบริหารสภาพคล่องเลยทีเดียว นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนของบริษัทยังได้รับการสนับสนุนด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศจากบริษัทแม่และเครือข่ายพันธมิตรในภูมิภาคของกลุ่มซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลทั้งหมด ที่มีมากกว่า 50 ท่าน อีกด้วย
          สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศคาดว่าคงจะไม่ปรับลงไปอีกแล้ว แต่การจะปรับขึ้นก็คงไม่เร็วนักอาจจะเป็นในช่วงครึ่งหลังของปี หากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีมากขึ้น แต่ปัจจุบันถือเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว



บลจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ตั้งเป้าผู้นำในธุรกิจกองทุนอสังหาฯ

Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ ตั้งเป้าเป็นผู้นำกองทุนอสังหาริมทรัพย์พร้อมลุยธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคลควบคู่ไปด้วย ขณะที่กองทุนอสังหาฯแลนด์แอนด์เฮ้าส์เข้าตลาดหุ้นวันแรกราคาเปิดตลาดอยู่ที่ 10.30 บาท
          นางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า บลจ.เราเป็น บลจ.ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นในปี 2554 โดยเริ่มดำเนินธุรกิจในเดือนมิถุนายน ปีที่ผ่านมาซึ่งกองทุนแรกที่เปิดขายไอพีโอไปคือ กองทุนรวมตลาดเงิน หลังจากนั้นก็มีกองทุน ตราสารหนี้ให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน นอกจากนี้เราก็มีกองทุนอสังหาริมทรัพย์สิทธิการเช่าแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่เพิ่งเข้าเทรดในตลาดหุ้นเมื่อช่วงเช้า(2 เมษายน)ที่ผ่านมาอีกด้วย
          ทั้งนี้ บลจ.มีธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์เป็นบริษัทแม่ โดยวัถตุประสงค์สำหรับที่จัดตั้งบลจ.ขึ้นมาเพื่อรองรับฐานลูกค้าบริษัทแม่ซึ่งในปีนี้จะมี พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากเหลือบัญชีละ 1 ล้านบาท ซึ่ง บลจ.ก็จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า นอกจากนี้ เราเป็นกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยก็จะมีลูกค้าในส่วนนี้เข้ามาจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์กับ บลจ.เช่นกัน
          "เรามองภาพตัวเอง เป็นผู้นำในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ยังมีกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล ที่น่าสนใจนำเสนอให้กับนักลงทุนอีกด้วย ซึ่งเราคงมองจังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเสนอขายหรือแนะนำการลงทุนให้กับนักลงทุน" นางจันทนากล่าว
          นางจันทนา กล่าวต่อว่า ในส่วนของฐานลูกค้าของ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนแบบ conservative รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างน้อย ซึ่งในส่วนนี้เราจะก็มีการพูดคุยหรือเป็นที่ปรึกษาให้กับนักลงทุนได้เข้าใจถึงวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง เช่น การกระจายความเสี่ยง จัดสรรการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ เป็นต้นโดยเราจะแนะให้นักลงทุนลงทุนแบบระยะยาว ซึ่งการลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นควรที่จะลงทุนระยะยาว
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการซื้อขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์สิทธิการเช่าแลนด์แอนด์ เฮ้าส์ เป็นวันแรกนั้น ราคาเปิดตลาดอยู่ที่ 10.30 บาท โดยมีผู้ถือหน่วยรายใหญ่5 อันดับแรกได้แก่ 1. กลุ่มบริษัท แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ 2.  ธนาคารออมสิน  3. Government of Singapore Investment Corporation Pte Ltd. 4. กองทุนปิด วรรณ พร็อพเพอร์ตี้พลัส ฟันด์ และ5. นายชัชวาล อภิบาลศรี

บลจ.บัวหลวงโชว์กองหุ้น

Source - ข่าวหุ้น (Th)

          Q1ผลตอบแทน24.69%
          บลจ.บัวหลวง ทำผลตอบแทนในกองทุนหุ้นมากสุดในช่วงไตรมาส 1/55 กว่า 24.69% สูงกว่าดัชนีตลาดฯ ที่เพิ่มขึ้น 16.72% ส่วนกองทุน LTF แชมป์ตกเป็นของ บลจ.วรรณ 22.96%
          สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) ได้รายงานตัวเลขการดำเนินงานผลตอบแทนของกองทุนรวมตราสารทุน พบว่า บัวหลวงธนคม ผลตอบแทนสูงสุดกองทุนหุ้น Q1, LTF บลจ.วรรณอันดับหนึ่ง กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม บริหารจัดการโดย บลจ.บัวหลวง ทำผลตอบแทนได้เป็นอันดับ 1 หรือ 24.69% เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้น 16.72% ในส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) นั้น ผลการจัดอันดับนั้น กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรท หุ้นระยะยาวของ บลจ.วรรณ มีผลตอบแทนในไตรมาสแรกเป็นอันดับหนึ่ง ที่ 22.96%
          ขณะที่กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ไลฟ์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ของ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ตราสารทุนที่มีผลตอบแทนในไตรมาส 1/55 สูงที่สุดที่ 21.26%
          นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม เป็น sector fund ที่เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
          โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความต้องการสินเชื่อ หลังเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไป รวมทั้งยังมีความชัดเจนเรื่องการเก็บเงินนำส่งให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อนำไปใช้ชำระคืนหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ด้วย
          ส่วนกลุ่มไอซีที ได้แรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อการประมูล 3จี และความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องต่างๆ ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
          “การบริหารกองทุนดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นเซ็กเตอร์ฟันด์ทำให้หนีจากหุ้นการเงินและไอซีทีไม่ได้ แต่จะใช้การสลับตัวหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจากตัวที่เต็มมูลค่าแล้ว ไปยังหุ้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม รวมทั้งยังมีการบริหารสัดส่วนเงินสดในพอร์ตเป็นบางช่วงด้วย หากเห็นว่าราคาหุ้นขึ้นมาแรงเกินไป
          นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณ กล่าวว่า หลักในการบริหารกองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรท หุ้นระยะยาว ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่มกองทุน LTF และกองทุนเปิด วรรณเอเอ็มเซ็ท 50 ที่ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับสอง ในกองทุนรวมตราสารทุน คือการเน้นและเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่
          นอกจากการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่แล้ว ทั้งสองกองทุนยังจะเลือกหุ้นขนาดกลางเข้ามาในพอร์ตด้วย ซึ่งจะผ่านการคัดเลือกค่อนข้างละเอียดมาก และถ้าเลือกได้แล้ว จะให้น้ำหนักค่อนข้างมากเช่นกัน อย่างในกลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร ที่หลายๆ บริษัทยังคงมีโอกาสในการปรับขึ้นได้อีกพอสมควร
          “แม้ราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารขึ้นมามากแล้ว แต่ในแง่ผลตอบแทนจากเงินปันผล ยังคงดีอยู่ และแนวโน้มการเติบโตของรายได้ หลังมี 3 จีจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้ราคายังมีโอกาสขึ้นต่อได้นายวิน กล่าว



KKFund ปิด Target Fund กองที่ 2 ของปีนี้ ทะลุเป้า 7% ใช้เวลาเพียง 4 เดือน

Source - เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ (Th)

          ดร. ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เกียรตินาคิน จำกัด เปิดเผยว่า จากที่ KKFund ทำการเสนอขาย "กองทุนเปิดเคเค ยูเอส ทาร์เก็ต 7% #1” ไม่กำหนดอายุโครงการ ตั้งเป้า 7% เป็นเวลา 7 เดือน โดยเป็นกองทาร์เก็ตฟันด์ที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกา เฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
          โดยลงทุนในตราสารแห่งทุน หน่วยลงทุนของกองทุนรวม (ETF) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และตราสารหนี้ และมีเงื่อนไขสามารถเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการหากสามารถสร้างผลตอบแทน 7% หรือ NAV มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.85 บาท ปัจจุบัน NAV ของกองทุนดังกล่าว ณ วันที่ 26-28 มีนาคม 2555 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10.8500 บาทต่อหน่วย จึงเข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการ ซึ่งหากนับจากวันเปิดเสนอขายกองทุน ใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น และยังให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามที่คาดหวัง ซึ่งเป็นการแสดงความสามารถในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนของ KKFund ได้เป็นอย่างดี
          “ในช่วงที่เปิดขายกองทุน "กองทุนเปิดเคเค ยูเอส ทาร์เก็ต 7% #1” เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีความผันผวน ผู้จัดการกองทุนได้ปรับสัดส่วนการลงทุนตามสถานการณ์ของตลาดมาโดยตลอด ทั้งนี้ ตลาดมีสัญญาณและภาพรวมมีแนวโน้มที่ดี และมีปัจจัยสนับสนุนด้าน Fundamental ที่ดีเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทำให้ "กองทุนเปิดเคเค ยูเอส ทาร์เก็ต ทาร์เก็ต 7% #1” สามารถปิดได้เร็วกว่ากำหนด
          โดย KKFund มองว่า เศรษฐกิจของโลกปีนี้ฟื้นตัวในระดับที่ค่อนข้างดีอย่างต่อเนื่อง ยูโรโซนและสหรัฐฯ เริ่มมีเสถียรภาพ และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ธนาคารกลางสามารถใส่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น เป็นสัญญาณเชิงบวกของตลาดที่จะปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศมหาอำนาจของตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน รัสเซีย บลาซิล จะเติบโตได้เร็วมากกว่าประเทศในยุโรปและอเมริกา
          ต้นเดือนเมษายน 2555 KKFund กำลังออกกองทุน กองทุนเปิดเคเค โกลบอล อีเมอร์จิ้ง ทริกเกอร์ 7%#1 ” โดยตั้งเป้า 7% และจะปิดโครงการให้เร็วที่สุด เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการบริหารกองทุน และเพื่อรองรับความต้องการการลงทุนของนักลงทุนที่เฝ้ารอกองทุนเปิดใหม่ที่มีความเชื่อมั่นในการบริหารกองทุนของ KKFund สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ KKFund โทร. 02 624 8555 กด 2 หรือ www.kk-fund.com และfacebook.com/KKFund


กรุงไทย-ธนชาต-กรุงศรี ชิงเงินกองบอนด์

Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          กรุงไทยขายตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ชูยิลด์ 4.05% ด้านธนชาตออกกองทุนคุ้มครองเงินต้น 7 ผลตอบแทนประมาณ 2.85% ส่วนกรุงศรี เปิดกรุงศรีตราสารหนี้ จ่ายผลตอบแทน 3.35%
 นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 25 เสนอขายในวันที่ 2-10 เม.ย. 2555 อายุ 12 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 4.05% โดยเงินลงทุนในต่างประเทศจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดจำหน่ายรอบใหม่ กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือน คุ้มครองเงินต้น 1 ระหว่างวันที่ 2-5 เม.ย. 2555 อายุโครงการ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 2.80% ต่อปี
          อัตราผลตอบแทนของเงินฝากและตราสารการเงินระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์ช่วงที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 3.20% ต่อปี แม้ว่าจะมีการเสนอรูปแบบเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในรูปขั้นบันได อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทเอกชนในประเทศเริ่มมีการเสนอขายหุ้นกู้ระยะกลางถึงระยะยาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีทิศทางค่อนข้างชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไม่ปรับลดลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะกลางและยาวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต
          นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M14 อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.35% ต่อปี
          บลจ.กรุงศรี มองว่า การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ดังกล่าวยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ทั้งนี้ คาดว่ากองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M14 จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี
          นายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. ธนชาต กล่าวว่า บริษัทจะเสนอขาย กองทุนเปิดธนชาตพันธบัตรรัฐคุ้มครองเงินต้น 7 รอบการลงทุนประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 2.85% ต่อปี ลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประมาณ 99.90% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ประมาณ 0.10% ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 3.0739% โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุน 0.2239% ต่อปี รับคำสั่งซื้อ-ขาย วันที่ 30 มี.ค. 5 เม.ย. 2555
          อัตราดอกเบี้ย ระยะกลาง-ยาวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต