วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนประจำวันที่ 22/03/2012

·        TMBAM ส่ง 'สมจินต์' นั่งนายกสมาคมฯ ดันขยายเวลาลดภาษี LTF
·        ยูโอบีเชียร์หุ้น 'จีน-อินเดีย' ผงาด หนุนหุ้นพุ่งแรงปีนี้
·        ธนชาตเข็นกองทุนหุ้น เน้นหุ้นราคาต่ำกว่าดัชนีตลาดฯ
·        วรรณเชื่อดอกเบี้ยยืน3%ยาว รีบหาช่องทางลงทุน
·        ประกันสังคมชี้หุ้นไทยแพงเผยมีเงินแสนล.ไม่มีที่ลงทุน
·        ศศินทร์ ไขปัญหาการลงทุนใน "กองทุนเปิดทองคำ" ในไทย


'สมจินต์'นั่งนายกสมาคมฯ ดันขยายเวลาลดภาษีLTF
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          "สมจินต์" ขึ้นแท่นนายกสมาคม บลจ.คนใหม่ "วรวรรณ" ฝากงานหิน จูงใจ บลจ.เน้นให้ความรู้เลิกใช้โปรโมชันดูดลูกค้า เสนอขยายเวลาสิทธิภาษีกอง LTF
          นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง ในฐานะอดีตนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยผลการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุนชุดใหม่ ว่า นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย ได้รับตำแหน่งนายกสมาคม บลจ.คนใหม่ โดยนายฉัตรพีตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี และนายหรรษา สุสายัณห์กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.บัวหลวง เป็นอุปนายกสมาคม
          "สิ่งที่ฝากไปยังนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการชุดใหม่ คือ การเร่งให้สมาชิกให้ความสำคัญในการนำเสนอผลการดำเนินงาน ความเสี่ยง แนวคิดในการบริหารจัดการ และวิธีการบริหารกองทุน ซึ่งมีจุดเด่นที่ต่างกัน เพื่อให้นักลงทุนใช้ปัจจัยในเชิงคุณภาพในการตัดสินใจซื้อกองทุนมากกว่าให้ ความสำคัญกับของแถมเพียงอย่างเดียว" อดีตนายกสมาคมฯ กล่าว
          นอกจากนี้ นางวรวรรณยังกล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้เสนอผ่านคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไปถึงกระทรวงการคลัง ว่าควรจะขยายระยะเวลาได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุนรวม หุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะครบกำหนดในปี 2559 ออกไปแบบไม่มีกำหนด และอนุญาตให้ บลจ.ออกกองทุนLTF ใหม่ได้ตลอดเวลา เพื่อประโยชน์ของอุตสาหกรรมกองทุน และเป็นทางเลือกของนักลงทุน
          นายสมจินต์ กล่าวภายหลังได้รับตำแหน่งนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนว่า สมาคมฯ จะทำงานร่วมกับ 3 ฝ่าย คือ 1.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนในให้มีความหลากหลายและครบถ้วน เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น 2.สมาชิกสมาคมฯ โดยเน้นเรื่องจรรยาบรรณและประโยชน์ของนักลงทุนรวมทั้งพัฒนาความสามารถของสมาชิกในการบริหารกองทุน และ 3.นักลงทุน โดยจะมุ่งเน้นการให้ความรู้กับผู้ลงทุน เพื่อให้ขยับมาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้


ยูโอบีเชียร์หุ้น'จีน-อินเดีย'ผงาด
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          ยูโอบี เผยเศรษฐกิจจีนอินเดียผงาด หนุนหุ้นพุ่งแรงปีนี้ เชียร์ลงทุนคาดแนวโน้มยังดี
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียในครั้งนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียและจีน ซึ่งมีผลตอบแทนที่แย่สุดในปี 2554 โดยติดลบ 20% และ 26% ตามลำดับ เป็นตลาดกลุ่มที่ดีที่สุด โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่16 มี.ค. 2555 หุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น 15%และจีนเพิ่มขึ้น 14%
          นอกจากจะได้รับผลดีจากการคลายกังวลปัญหายุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณดีขึ้น เงินเฟ้อของ 2 ประเทศชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางทั้งสองประเทศเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินและคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีนี้
          "แม้สำนักวิเคราะห์บางแห่งมองว่าเศรษฐกิจจีนจะ ดิ่งลงรุนแรงในปีนี้ ทำให้ตลาดปรับลงเล็กน้อย แต่ก็ดีดขึ้นมาได้ขณะที่หุ้นอินเดียมีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน ในปีนี้"บลจ.ยูโอบี กล่าว
          ปัจจุบันตลาดหุ้นจีนซื้อขายที่ราคาต่อกำไร (พี/อี) 9.4 เท่า ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในอดีตที่ 12 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียมี พี/อี 13.5 เท่า ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในอดีตที่ 15 เท่า จึงยังมีโอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้นได้อีกหากสภาพคล่องในตลาดโลกยังดี แต่ต้องติดตามทิศทางนโยบายการเงินและการคุมเข้มภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ส่วนความเสี่ยงของอินเดียผูกอยู่กับราคาน้ำมัน หากสูงขึ้นมากจะทำให้ระดับเงินเฟ้อเร่งตัวอีก และหากเงินไหลออกจะทำให้สภาพคล่องตึง
          บลจ.ยูโอบี มีกองทุนเปิดยูโอบีสมาร์ท ไชน่า อินเดีย เป็นทางเลือกในการลงทุน


บลจ.ธนชาตเข็นกองทุนหุ้น เน้นหุ้นราคาต่ำกว่าดัชนีตลาดฯ
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ธนชาต เข็นกองทุนหุ้น "ธนชาต Low Beta" เน้นลงทุนหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างต่ำ เริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 27 มีนาคม 2555
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนเปิดธนชาต Low Beta ซึ่งเป็นกองทุนหุ้น ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อายุของโครงการแบบไม่มีกำหนด โดยกองทุนดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนแล้วเมื่อวันที่13 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา และเริ่ม ไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 27 มีนาคม นี้
          ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้อง การโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวของ ราคาเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างต่ำและยอมรับความเสี่ยงจากการ ลงทุนดังกล่าวได้
          โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์ ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างต่ำ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีของกองทุน หลักทรัพย์ดังกล่าวจะมีค่า Beta ไม่เกิน 1 และกรณีหลักทรัพย์ดังกล่าวมีค่า Beta เกิน 1 จะดำเนินการแก้ไขภายใน 30 วันนับแต่วันสิ้นรอบปีบัญชีของกองทุน โดยไม่ถือว่าปฏิบัติผิดไปจากรายละเอียดโครงการ ซึ่งในกรณีที่มีความผิดปกติของตลาด หรือราคาตลาดของหลักทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรง หรือกรณีที่การเปลี่ยนแปลงในภาวะตลาด หรือการคาดกาณ์ภาวะตลาดทำให้หลักเกณฑ์การลงทุนข้างต้นขาดความเหมาะสมในทาง ปฏิบัติ หรือจะก่อความเสียหายให้แก่กองทุนโดยรวม รวมถึงกรณีอื่นใดที่เกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือเหตุที่เกิดจาก ปัจจัยภายนอก หรือเหตุอื่นใดที่ได้รับการผ่อนผันจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
          ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารทุน ตราสารกึ่งทุน ตราสารแห่งหนี้ หรือเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามประกาศคณะ กรรมการ ก.ล.ต. หรือประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.เห็นชอบ
          ทั้งนี้ กองทุนอาจจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง รวมถึงตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารต่ำกว่า อันดับสามารถลงทุนได้ ซึ่งตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือและตราสารทุนที่ไม่ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยกเว้นในกรณีขณะที่เริ่มลงทุนตราสารดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อ ถือของตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ แต่ต่อมาถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงต่ำกว่าInvestment grade กองทุนจะมีไว้ซึ่งตราสารดังกล่าวได้ รวมทั้งมีเวลาในการปรับลดอัตราส่วนให้เป็นไปตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด หรือเห็นชอบให้ดำเนินการได้



ดอกเบี้ยยืน3%ยาวรีบหาช่องทางลงทุน

Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          เชื่อดอกเบี้ยยืน3%ไปอีกนาน ควรแสวงหาการลงทุนที่ให้ดอกสูง เงินเฟ้อไม่น่าห่วง บัวหลวงจ่าย 2.625%
          นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ(บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า บลจ.วรรณประเมินว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ 3% ไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นระดับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่าเหมาะสมต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม
          ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังไม่น่ากังวล แม้ว่าน้ำมันราคาขึ้น แต่ราคาอาหารปรับลดลงช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลง
          ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3-6 เดือนของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 3 แห่งของไทย อยู่ที่1.93-2.41%
          นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ธนาคารขยายเวลาการรับฝากเงินฝากประจำพิเศษระยะ 4 เดือน ที่จ่ายดอกเบี้ยสูง 2.625% ออกไปอีก 1 เดือน โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 23 เม.ย.นี้


ประกันสังคมชี้หุ้นไทยแพงเผยมีเงินแสนล.ไม่มีที่ลงทุน

Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th)

          ประกันสังคมเผยเงินออมล้น รัฐฯก่อหนี้สาธารณะก้อนใหญ่ ด้วยการออกพันธบัตรไม่กระทบดอกเบี้ยตลาดบอนด์ติงหุ้นไทยแพงแต่ไม่มีที่ไป กลุ้มพอร์ตหุ้นสปส.มีเงินเหลืออีกเกือบแสนล้าน
          วันที่ 20มีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) จัดเสวนาเรื่อง"หนี้สาธารณะและผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุน" นายพิชัย ชุณหวชิรประธานอนุกรรมการบริหารการลงทุน สำนักงานประกันสังคม(สปส.)หนึ่งในวิทยากรที่ร่วมงานครั้งนี้กล่าวว่าตลาดตรา สารหนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่รัฐบาลก่อหนี้ด้วยการออกพันธบัตรเนื่อง จากปัจจุบันเงินออมของประเทศมีสูงมากโดยทั้งระบบมีมากกว่า10ล้านล้านบาททั้งในระบบเงินฝากตั๋วแลกเงิน(บี/อี) และกองทุนรวม
          เช่นเดียวกับสปส.ที่ปัจจุบันมีเงินกองทุนถึง  9 แสนล้านบาท  โดย 85% เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนอีก10% หรือประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ลงทุนในหุ้น  ซึ่ง จะเห็นได้ว่าปัจจุบันในระบบยังมีสภาพคล่องและมีเงินออมอีกมาก ดังนั้นการก่อหนี้สาธารณะด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลจึงไม่กระทบต่ออัตรา ดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้
          นายพิชัย ยังยกตัวอย่างเพื่อสนับสนุนว่าเงินออมในประเทศมีจำนวนมาก โดยกล่าวว่าสปส.มีเป้าหมายว่าลงทุนในหุ้นให้ได้ถึง20%รวมการลงทุนหุ้นต่างประเทศแต่ปัจจุบันสามารถลงทุนได้เพียง10%เนื่อง จากไม่มีหุ้นให้ลงทุนโดยขณะนี้สปส.อยู่ระหว่างพัฒนาบุคลากรเนื่องจากนโยบาย การลงทุนในต่างประเทศของสปส.จะใช้วิธีไปลงทุนเองโดยตรงด้วยการว่าจ้างบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนในต่างประเทศบริหาร
          ส่วนกรณีที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงโดยดัชนีหลักทรัพย์ปรับขึ้นแตะที่ระดับ1,200จุด นั้นนายพิชัย กล่าวว่า ถือว่าเป็นระดับที่แพง แต่เนื่องจากปัจจุบันเงินไม่มีที่ไปหรือไม่มีที่ลงทุน เงินจึงยังหมุนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นจึงทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าแพงก็ยังซื้อ เพราะการไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีปัญหา เงินจึงได้ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เช่นเดียวกับสปส.ที่ยังลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
          ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบลจ.เอ็มเอฟซีฯ กล่าวว่า  การที่ตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปถึง 1,200 จุดนั้นถือว่าเป็นระดับที่เสี่ยงแล้วเพราะปัจจุบันวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรปยังอันตราย
          ดร.ณรงค์ชัย กล่าวว่าสำหรับเงินเฟ้อของไทยที่ระดับไม่เกิน 4% ถือว่ายังไม่น่ากลัว แต่อีกมิติหนึ่งคือ สินค้าราคาและราคาพลังงานสูงขึ้น ขณะที่ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะ 41%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)หรือมีมูลค่า11.5ล้านล้านบาทแต่ต้องกู้อีก1.1ล้านล้านบาท ใน 2 ปีข้างหน้าจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 52%หรือ 5.4 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงถ้าบริหารไม่ดี


ศศินทร์ ไขปัญหาการลงทุนในกองทุนเปิดทองคำในไทย
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          สืบเนื่องจากการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการวิจัยและการจัดสัมมนา "Sasin Faculty Research Forum เรื่องช่องโหว่กองทุนเปิดทองคำในไทย" ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ผล
          ที่ตามมาก็คืองานวิจัยดังกล่าวได้รับความสนใจ ทั้งจากนักลงทุน รวมทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนซึ่งได้ตื่นตัวถึงปัญหาที่กระทบต่อ ภาพรวมของตลาดและขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และกำหนดแนวทางดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก
          ทั้งนี้ หลังจากที่จัดสัมมนาไปมีผู้ที่สนใจและนักลงทุนติดต่อสอบถามเข้ามาเป็นจำนวน มาก ทางผู้วิจัยจึงขอสรุปคำถามและตอบคำถาม เพื่อเผยแพร่ให้นักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน ดังนี้
          1) ทำไมราคาปิดของกองทุนทองคำสิงคโปร์ในวันที่ 18 มี.ค. 2554 และ 30 ธ.ค. 2554 ไม่สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรม
          ในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ราคาซื้อขายได้อยู่ในช่วง$151-$152 ตลอดทั้งวันจนถึงตลาดปิด แต่ราคาปิดกลับก้าวกระโดดไปอยู่ที่ $165.99 เมื่อตรวจสอบไปที่ตลาดทองคำโลกก็ไม่พบว่ามีการกระโดดของราคาในลักษณะนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น และราคาชี้แนะตามมูลค่ากองทุน (Indicative NAV) ณ เวลานั้นคือ$151.694 ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณมาจากราคาทองคำในตลาดโลก ราคาปิดที่ 165.99 นั้นถือว่าสูงกว่าราคาตลาดทองคำโลกไปถึง 9.42% ส่วนในวันที่ 18 มี.ค. 2554 ก็เป็นเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน แต่ราคาปิดสูงกว่าราคาตลาดทองคำโลกไป 5.17%
          ราคาปิดของทั้งสองวันนี้ไม่สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรมเพราะแตกต่างจากราคาที่ซื้อขายกันในตลาดอื่นมากและราคาดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงช่วง
          วินาทีก่อนตลาดปิดเท่านั้น ถ้ามีการขยายเวลาปิดตลาดออกไป ก็จะมีนักทำกำไรเข้ามาขายที่ราคาที่สูงผิดปกตินั้น และไปซื้อคืนที่ตลาดอื่นเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างไป ซึ่งจะทำให้ราคากลับมาเป็นปกติ แต่ในช่วงปิดตลาดเป็นเวลาที่สั้นมาก ทำให้นักทำกำไรเข้ามาไม่ทัน จึงทำให้ราคาปิดสูงกว่าราคาที่แท้จริงดังที่ปรากฏ
          นอกจากนี้ทาง บลจ.อย่างน้อย 3 แห่ง ก็ออกจดหมายถึงลูกค้ายอมรับเหตุการณ์วันที่ 30 ธ.ค. ว่า
          "การปรับตัวของราคาปิดไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับราคาทองคำในตลาดโลก" "มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนไม่สะท้อนราคาทองคำในตลาดโลก"และ "ราคาปิดของ SPDR Gold Trust ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติในช่วงปิดตลาด" สำหรับเหตุการณ์วันที่18 มี.ค. มี บลจ.แห่งหนึ่งยอมรับว่า "ลูกค้าที่มีการ
          ส่งคำสั่งซื้อในวันที่ 18 มี.ค. 2554 จะได้ราคาที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นตามราคาทองคำในตลาดโลกประมาณ 5%"
          2) ถ้าราคาปิดของกองทุนที่ซื้อขายในตลาด มีค่าต่างกับ NAV ของกองทุนนั้นมาก ถือว่าปกติหรือไม่
          กองทุนที่ซื้อขายในตลาดมีอยู่สองประเภท คือกองทุนเปิด Exchange-traded Fund (ETF) และกองทุนปิด Closed-end Fund (CEF) ในกรณีกองทุนเปิด กองทุนจะมีกลไกในการสร้างและลดหน่วยลงทุน (Creation and Redemption) ทำให้ราคาที่ซื้อขายในตลาดจะไม่แตกต่างจาก NAV ได้มาก เพราะถ้าราคาแตกต่างกับ NAV มากก็จะมีนักทำกำไรเข้ามาซื้อขายทำกำไรในส่วนต่าง ทำให้ราคาปรับกลับมาใกล้เคียงกับ NAV ดังนั้นถ้าราคาซื้อขายของกองทุนเปิด เช่น กองทุนทองคำสิงคโปร์ SPDR GLD 10US$ ต่างจาก NAV แค่เพียง 2% ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก
          ส่วนในกรณีกองทุนปิด เช่นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนจะไม่มีกลไกในการสร้างและลดหน่วยลงทุนที่จะช่วยปรับราคาที่ซื้อขายใน ตลาดไม่ให้แตกต่างจาก NAV ได้มากเหมือนในกรณีของกองทุนเปิด ดังนั้นราคาของกองทุนที่ซื้อขายกันในตลาดจะแตกต่างจาก NAV ของกองทุน โดยจะขึ้นกับความต้องการซื้อและขายในตลาดขณะนั้น เช่นถ้าราคาตลาดของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างจากNAV ถึง 20% ก็จะถือเป็นเรื่องที่ปกติ
          3) การบิดเบือนราคาปิดนี้สามารถทำได้หรือไม่และสมควรนำราคาปิดมาใช้กำหนดราคาซื้อขายหน่วยลงทุนหรือไม่
          ตามหลักการถ้าตลาดมีเวลาให้ผู้ซื้อและผู้ขาย เพียงพอ ราคาซื้อขายจะไม่สามารถถูกบิดเบือนได้ง่ายเพราะถ้าราคาทองคำในตลาดหนึ่งมี ราคาสูงเกินไป ก็จะมีนักทำกำไรเข้าไปขายที่ตลาดนั้นในราคาสูง และไปซื้อกลับในตลาดอื่นที่ราคาปกติเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง ราคาในตลาดนั้นก็จะกลับมาเป็นราคาปกติและราคาของทุกตลาดก็จะกลับเข้าสู่ สภาวะสมดุลแต่ราคาปิดเป็นราคาที่เกิดในช่วงเวลาที่สั้นมากไม่เพียงพอที่กลไก การปรับราคาสู่สมดุลดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้ทัน การบิดเบือนราคาปิดจึงสามารถทำได้ โดยการส่งคำสั่งซื้อหรือขายช่วงสุดท้ายก่อนตลาดปิดรับคำสั่ง และถ้าสภาพคล่องขณะนั้นต่ำด้วยก็จะไม่ต้องใช้ทุนมากในการทำราคาปิด
          ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณกำลังถ่ายรูปเพื่อนของคุณ พอคุณนับ 1-2-3 เขาก็กระโดดขณะที่คุณกดชัตเตอร์พอดี ถ้าเอารูปนี้ไปโชว์ คนที่ดูรูปก็อาจเข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนของคุณตัวสูงซึ่งรูปนั้นไม่ได้สะท้อน ความสูงที่แท้จริงของเขา เพราะรูปนั้นเกิดจากการบิดเบือนความสูงแค่เพียงช่วงสั้นๆ เหมือนกับการทำราคาปิด แต่ถ้าคุณถ่าย 100 รูปในเวลา10 นาที แล้วหาความสูงเฉลี่ย เพื่อนของคุณก็จะไม่สามารถบิดเบือนความสูงได้ง่ายอีกต่อไป เพราะต้องกระโดดอยู่ตลอดในช่วงเวลา 10 นาทีนั้น ซึ่งจะเหนื่อยมากดังนั้นราคาเฉลี่ยจะบิดเบือนได้ยากมาก
          ในสหรัฐอเมริกา ถ้ามีการซื้อขายช่วงท้ายตลาดเพื่อบิดเบือนราคาปิดเพื่อผลประโยชน์ที่ผูกกับ ราคาปิดนั้น ก็จะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง และทาง U.S.Securities and Exchange Commission ก็ได้จับและปรับผู้กระทำผิดในการบิดเบือนราคาปิดไปได้หลายราย
          อย่างไรก็ตาม ราคาปิดของหลักทรัพย์ทั่วๆ ไปมักจะไม่ถูกบิดเบือน เพราะไม่มีผลประโยชน์ใดๆ มาผูกกับราคาปิดนั้น จึงไม่มีใครต้องการที่จะบิดเบือนราคาปิด แต่ในกรณีราคาปิดของ SPDR GLD 10 US$นั้นได้ผูกอยู่กับผลประโยชน์มหาศาล เช่น ในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ราคาปิดของ SPDR GLD 10 US$ เป็นตัวกำหนดราคาซื้อขายของกองทุนทองคำในไทยในวันนั้นทั้งวัน ที่มีมูลค่าการซื้อสุทธิถึง 860 ล้านบาทการที่ราคาปิดนั้นสูงเกินจริงก็ทำให้ผู้ที่ขายกองทุนในไทยในวันนั้นขายได้ในราคาที่สูงเกินจริงด้วย
          ตัวเลขตัวใดถ้ามีการนำไปผูกกับผลประโยชน์ ตัวเลขนั้นควรจะต้องเป็นตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากเพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตัวอย่างเช่น ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่างๆ ราคาซื้อขายในวันสุดท้ายจะผูกกับผลประโยชน์ของผู้ที่ถือสัญญา ดังนั้นตลาดเหล่านี้จึงใช้ราคาเฉลี่ยช่วงท้ายตลาดแทนที่จะใช้ราคาปิดเพราะ ราคาเฉลี่ยไม่สามารถถูกบิดเบือนได้ง่ายจึงสะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรมได้ดี กว่าราคาปิด อีกตัวอย่างหนึ่งคือในกาสิโนต่างๆ เขาจะใช้การทอยลูกเต๋าที่บิดเบือนได้ยากในการผูกกับผลประโยชน์ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม แต่ถ้ามีการบิดเบือน เช่น การถ่วงลูกเต๋า ก็จะถือว่าเป็นความไม่ยุติธรรมต่อลูกค้า แต่ในกรณีกองทุนทองคำ ราคาปิดของ ETF ที่สิงคโปร์เป็นราคาที่ถูกบิดเบือนได้ดังที่ อธิบายไว้ข้างต้น อีกทั้งได้มีการผูกกับผลประโยชน์ของนักลงทุนที่ซื้อขายกองทุนทองคำในไทย จึงมีความเป็นไปได้ที่จะถูกบิดเบือนและเกิดช่องโหว่ให้มีการทำกำไรอย่างไร้ ความเสี่ยงดังที่อธิบายในบทวิจัย ผู้วิจัยจึงเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ตัวเลขอื่นที่บิดเบือนยากมากำหนดNAV และราคาซื้อขายหน่วยลงทุนแทน
          โดยเฉพาะในกรณีวันที่ 30 ธ.ค.นั้น ตามหลักการแล้วการกำหนดราคา NAV ควรจะต้องสะท้อนถึงราคาตลาดและเป็นธรรม (Fair Market Value) และผู้วิจัยเห็นว่าราคาปิดที่ใช้ในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 นั้นไม่ได้สะท้อนถึงราคาตลาดที่เป็นธรรมตามที่อธิบายในข้อ 1 ดังนั้นตามหลักการทางวิชาการผู้วิจัยเห็นว่าไม่สมควรนำราคาปิดดังกล่าวมาใช้กำหนด NAV และราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในวันนั้น
          4) กองทุนอื่นที่ใช้ราคาปิดของหลักทรัพย์มาใช้คำนวณ NAV ของกองทุน จะมีผลกระทบในลักษณะเดียวกันหรือไม่
          สาเหตุที่กองทุนส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ใช้ราคาปิดของหลักทรัพย์ที่กองทุนถืออยู่แต่ละตัวมากำหนดราคา NAV ของกองทุนแล้วไม่เกิดปัญหาเหมือนในกรณีกองทุนทองคำของไทย เพราะกองทุนเหล่านั้นถือหลักทรัพย์หลายตัว ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจให้มีการทำราคา เช่น ถ้ากองทุนมีหุ้น 20 ตัว ถ้าจะบิดเบือนก็ต้องไปบิดเบือนราคาปิดของหุ้นทั้ง 20 ตัว ซึ่งก็จะไม่คุ้ม เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำราคาของหุ้นทุกตัว เมื่อไม่มีแรงจูงใจในการทำราคาราคาปิดจึงไม่ถูกบิดเบือนและทำให้สะท้อนราคา ตลาด
          ในกรณีที่กองทุนลงทุนในหลักทรัพย์ตัวเดียวส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบ Master-feeder Funds กล่าวคือ กองทุนที่เรียกว่า Feeder Fund จะลงทุนในกองทุนอีกกองทุนหนึ่งที่เรียกว่า Master Fund อย่างไรก็ดีกองทุน Master Fund เหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น ETF และไม่ได้ซื้อขายกันในตลาด ทำให้ไม่สามารถทำราคาปิดได้ ปัญหาดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้น และในกรณีที่ Feeder Fund เป็นกองทุน ETF ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่เกิดเช่นกันเพราะกองทุน ETF นั้นซื้อขายกันในตลาดอยู่แล้วซึ่งนักลงทุนจะทราบราคาซื้อ ขายที่แน่นอนในขณะซื้อขาย ดังนั้นจะมีกรณีเดียวที่ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นคือกรณีที่กองทุนFeeder ไม่เป็น ETF แต่ลงทุนใน Master Fund ที่เป็น ETF ซึ่งจะมีเพียงส่วนน้อยของกองทุนในโลก เท่านั้นที่เป็นกรณีนี้ ตัวอย่างคือ กองทุนรวมทองคำของไทยที่ลงทุนในกองทุนทองคำสิงคโปร์หรือฮ่องกง กองทุนน้ำมันที่ลงทุนในกองทุนเปิด ETF ตัวเดียว และกองทุนทองคำบางตัวในอินเดีย ซึ่งกองทุนเหล่านี้มีโอกาสที่จะประสบปัญหาแบบเดียวกับกองทุนรวมทองคำของไทย และทางผู้วิจัยเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กำกับกองทุนของประเทศนั้นก็ จะเข้ามาแก้ไขปิดช่องโหว่ดังกล่าวเมื่อทราบเช่นกัน ส่วนสาเหตุที่กองทุนเหล่านี้บางกองทุนยังไม่ประสบปัญหาดังกล่าว อาจเป็นเพราะ 1) กองทุนETF ที่เป็น Master Fund มีสภาพคล่องสูงขณะปิดทำให้การทำราคาปิดต้องใช้ทุนสูงจึงอาจไม่คุ้ม 2) มีการเก็บค่าถือครองระยะสั้นใน Feeder Fund เหมือนกองทุนทองคำอินเดีย จึงอาจทำให้ไม่คุ้มต่อการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยง 3) ประเทศนั้นมีกฎหมายรองรับที่จะเอาผิดกับผู้ที่จงใจทำราคาปิดและมีการจับและปรับเกิดขึ้นในอดีต หรือ 4) ยังไม่มีนักทำกำไรเห็นช่องโหว่ดังกล่าว
          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มสภาพคล่องของกองทุน ETF ที่เป็น Master Fund มีการเก็บค่าถือครองระยะสั้นของ Feeder Fund และมีการบังคับใช้กฎหมาย สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดจริงๆ และถ้ากองทุนทองคำในไทยย้ายไปลงทุนในSPDR GLD ETF ที่ฮ่องกง แต่ยังคงใช้ราคาปิดในการอ้างอิงเช่นเดิม ก็จะไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดเช่นกัน เพราะราคาปิดของSPDR GLD ETF ที่ฮ่องกงก็อาจจะถูกบิดเบือนได้อีกการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดคือการเปลี่ยนมาใช้ตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากในการกำหนด NAV แทนการใช้ราคาปิด
          5) หลังจากพบช่องโหว่นี้ ศศินทร์ ทำอย่างไร
          เมื่อทางผู้เขียนพบวิธีการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยงจากช่องโหว่นี้ ก็ได้ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมโดยมีขอบเขตของงานดังต่อไปนี้ 1) เพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดในปัจจุบันคือการนำราคาที่บิดเบือนได้ง่ายและไม่ได้สะท้อนราคาตลาดอย่างเป็นธรรม มาใช้กำหนด NAV ของกองทุน 2) แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ที่นักลงทุนสามารถเข้ามาทำกำไรโดยไร้ความเสี่ยงได้ ซึ่งควรจะต้องรีบปิด และ 3)เสนอวิธีแก้ไขปัญหาโดยเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ตัวเลขอื่นที่บิดเบือนได้ยากมากำหนดราคาNAV แทน โดยยกตัวอย่างตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากและสามารถสะท้อนราคาตลาดอย่างเป็นธรรม เช่น ค่าเฉลี่ยและ ค่า Indicative NAV โดยทั้งนี้ งานที่อยู่นอกเหนือจากขอบเขตของงานวิจัยดังกล่าว ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเป็นผู้ทำการศึกษาเพื่อพิจารณาตัดสินใจเลือกตัว เลขที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ในการคำนวณ NAV ต่อไป
          เมื่อได้ผลการวิจัยในวันที่ 18 ม.ค. 2555 ทางศศินทร์ก็ได้แจ้งไปยัง ก.ล.ต. การแจ้ง ก.ล.ต.ก่อนนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการ เพราะก.ล.ต.เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของ ตลาดและคุ้มครองผู้ลงทุนและหลังจากนั้นก็ได้ไปนำเสนอผลงานและได้ปรึกษาร่วม กันกับทาง ก.ล.ต.เพื่อหารือแนวทางแก้ไข ซึ่งทาง ก.ล.ต.ก็แจ้งว่าได้มีการปรึกษากับทางบลจ.ในเรื่องเหตุการณ์วันที่30 ธ.ค.นี้ก่อนแล้วทางศศินทร์จึงไม่ได้ไปติดต่อกับสมาคม บลจ.โดยตรงเองอีกทาง เพราะทาง ก.ล.ต. และสมาคม บลจ.มีการประสานงานกันอยู่
          นอกจากนี้แล้ว ไม่ได้มีบุคคลหรือองค์กรใดแนะนำหรือว่าจ้างให้ผู้วิจัยทำการวิจัยดังกล่าว เพียงแต่เราในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่ต้องการทำหน้าที่เป็น ส่วนหนึ่งของการดูแลและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เห็นว่าการใช้ราคาปิดที่ผิดปกติของกองทุนทองคำสิงคโปร์ในวันที่18 มี.ค. 2554 และ 30 ธ.ค. 2554 มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ที่ผ่านมานักลงทุนไทยที่ซื้อกองทุนทองคำที่อิงกับสิงคโปร์ในวันที่ 18 มี.ค.2554 ต้องรับภาระซื้อในราคาที่แพงเกินจริงไป5.17% และเหตุการณ์ลักษณะเดิมได้เกิดซ้ำอีกในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ที่ผู้ซื้อต้องจ่ายแพงเกินจริงถึง9.42% และ ณ เวลานั้นไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้เป็นครั้งที่ 3 ขึ้นอีกเมื่อใดซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีกแน่ ทางศศินทร์เห็นว่านักลงทุนควรได้รับทราบถึงข้อมูลความเสี่ยงตรงนี้เพราะการ ที่ทรัพย์สินหายไป 9-10% ในวันเดียวนี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยของทุกคนและตอน นั้นนักลงทุนทั่วไปส่วนใหญ่ยังไม่ทราบถึงความเสี่ยงตรงนี้เลย ทางศศินทร์จึงเผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ให้ทุกคนได้ทราบพร้อมกัน เพื่อช่วยแจ้งเตือนนักลงทุนนำข้อมูลนี้ไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลง ทุนในกองทุนทองคำต่อไป และข้อดีอีกประการของการเผยแพร่คือเมื่อทุกคนรู้ก็จะทำให้ผู้ที่แอบทำกำไร อยู่ ถ้ามีอยู่จริง ก็อาจจะไม่กล้าทำกำไรมากนัก
          ในบทวิจัยทางผู้เขียนได้แนะนำให้นักลงทุนรอก่อน หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็อย่าเพิ่งลงทุนในกองทองคำที่ใช้ราคาตลาด สิงคโปร์อ้างอิง แต่ถ้านักลงทุนอยากลงทุนในทองคำในตอนนั้น ผู้เขียนแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในกองทอง ETF ทั้ง 4 กองแทน เพราะจะไม่มีความเสี่ยงของราคาที่ผิดปกติดังกล่าว นอกจากนี้แล้วยังไม่ได้แนะนำให้นักลงทุนขาย แต่ถ้ามีนักลงทุนต้องการจะขายก็แนะนำให้ทยอยขาย อย่าขายทั้งหมดในวันเดียวเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไปขาย ในวันที่ราคาตกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
          6) ผู้ลงทุนควรทำอย่างไร
          เมื่อวันที่29 ก.พ. 2555 ทาง ก.ล.ต. และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้มีข้อสรุปในวิธีการคำนวณNAV ของกองทุนรวมไทยที่ลงทุนใน Gold ETF ว่าในกรณีที่ทาง บลจ.เห็นว่าราคาปิดของ Gold ETF ผิดปกติ ทาง บลจ.จะใช้ราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เช่น Indicative NAV มาใช้ในการคำนวณ NAV ของกองทุนไทย ส่วนในกรณีที่ราคาปิดเป็นปกติบลจ.จะใช้ราคาปิดของ Gold ETF มาคำนวณ NAV ของกองทุนไทย
          จากมาตรการใหม่นี้ทำให้ผู้เขียนเห็นว่านักลงทุน ของกองทุนเปิดทองคำในไทยที่ลงทุนในกองทุนทองคำสิงคโปร์น่าจะสบายใจได้แล้ว ว่าเหตุการณ์ราคาผิดปกติที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก โดยทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ทาง บลจ.จะใช้ในการพิจารณาว่าราคาปิดนั้นปกติหรือไม่ปกติ ทางผู้เขียนเห็นว่าราคาปิดที่ปกติจะไม่ควรต่างจากIndicative NAV เกิน 1-2% เพราะถ้าเกิน 1-2%ก็จะสามารถมีการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยงได้อยู่ตามที่เขียนอธิบายตัวอย่างไว้ในงานวิจัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น