วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 1-03-2012

·        WHAPFเปิดการซื้อขายหน่วยเพิ่มทุนอีก 1,827 ล้านบาท
·        แก้เกณฑ์คำนวณ NAV อีทีเอฟทอง หากผิดปกติใช้ราคาสะท้อนมูลค่าจริง
·        กรุงศรีมั่นใจเอยูเอ็มโต20% ส่งอิควิตี้ลิงค์ขายถึง 5 มี.ค.
·        INGจ่ายปันผลกองผสม 0.50บาท/หน่วย ชี้ปรับพอร์ตตามภาวะตลาดที่ผันผวน
·        ทิสโก้ชู 'เอเชีย' แกร่งหุ้นวิ่งต่อ ส่งกองใหม่เป้า10% ใน4เดือน หุ้นไทยแพงแนะทยอยทำกำไร
·        กรุงไทย ตีปีกกุมภาฯเงินไหลเข้าหมื่นล. ·        เงินต่างชาติดันหุ้นไทยขยับต่อ กูรูชี้ระยะกลาง-ยาวความเสี่ยงยังอยู่ 

WHAPFเปิดการซื้อขายหน่วยเพิ่มทุนอีก 1,827 ล้านบาท
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย นำหน่วยลงทุนเพิ่มทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิว เอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) จำนวน 1,800 ล้านบาท เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม หลังผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมจองซื้อเต็มมูลค่า โดยมีผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ บลจ.กสิกรไทยและบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์


แก้เกณฑ์คำนวณNAVอีทีเอฟทอง หากผิดปกติใช้ราคาสะท้อนมูลค่าจริง
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          สำนักงาน ก.ล.ต.ได้ข้อสรุปใหม่ร่วมกัน ใช้ราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของ Gold ETF มาใช้คำนวณ NAV ในกรณีราคาในตลาดต่างประเทศผิดปกติ หวังแก้ปัญหาคำนวณ NAV กองทุนอีทีเอฟทองต่างประเทศ ด้านตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์รับเรื่อง พร้อมวางหมากแก้ไขแล้ว
          นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ราคาปิดของกองทุนรวมทองคำ ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Gold ETF) มีความผิดปกติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ส่งผลกระทบต่อการคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุน หรือ  NAV ของกองทุนรวมทองคำในไทย ซึ่งแม้ว่าประกาศสมาคมบริษัทจัดการลงทุนในปัจจุบันจะเปิดช่องให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถใช้ดุลพินิจร่วมกับผู้ดูแลผลประโยชน์ในการกำหนดราคาที่เหมาะสมได้ แต่ไม่มี บลจ.ใดใช้ช่องทางดังกล่าว เพราะไม่แน่ใจว่าราคาใดจะเหมาะสม
          ทั้งนี้ จากปัญหาดังกล่าว สำนักงาน ก.ล.ต.จึงได้หารือกับสมาคม บริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) และได้ข้อสรุปว่า กรณีที่เห็นว่าราคาปิดผิดปกติ บลจ.จะใช้ราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของ Gold ETF เช่น Indicative NAV ของ Gold ETF ซึ่งคำนวณจากราคาทองคำในตลาดซื้อขายทองคำ มาใช้ในการคำนวณ NAV ของกองทุนไทย ส่วนในกรณีที่ราคาปิดเป็นปกติ บลจ.ยังคงใช้ราคาปิดของ Gold  ETF  มาคำนวณ NAV  ของ กองทุนไทยตามปกติเช่นเดิม
          นอกจากนี้ ก.ล.ต.ได้หารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore E xchange: SGX) ซึ่ง SGX มองว่าเหตุที่ราคาปิดผิดปกติ อาจเกิดจากสภาพคล่องในวันดังกล่าวมีค่อนข้างน้อย ทั้งนี้ SGX ได้ให้ความสำคัญต่อกรณีดังกล่าว โดยได้ดำเนินการตรวจสอบและได้วางมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว โดยกำหนดให้ market maker เข้ามาทำหน้าที่ในช่วงก่อนปิดตลาด ( call market) ซึ่งจะช่วยให้ราคาปิดเป็นปกติยิ่งขึ้น
          นายวรพลกล่าวเพิ่มเติมว่า ก.ล.ต. และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการคุ้มครองผู้ลงทุน ซึ่งในเรื่องนี้เมื่อ ก.ล.ต. ทราบเรื่องก็รีบดำเนินการและติดต่อประสานงานไปทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ข้อสรุปที่ได้ร่วมกับสมาคมในครั้งนี้ถือเป็นการดำเนินการที่มีผู้ลงทุนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ตลาดทุนของเราดำรงอยู่และก้าวหน้าต่อไปได้
          ด้านนางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ที่ผ่านมา บลจ. ได้ใช้ราคาปิดตามที่มาตรฐานบัญชีและประกาศสมาคมกำหนด แต่การมาหารือในครั้งนี้ก็เพื่อให้ บลจ.มีทางออกในการกำหนดราคาที่เป็นธรรมกับผู้ถือหน่วยลงทุนทุกราย และทำให้การคำนวณ NAV สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งสมาชิกสมาคมเห็นด้วยกับ ก.ล.ต. ในการกำหนดราคาตามแนวทาง ดังกล่าว


กรุงศรีมั่นใจเอยูเอ็มโต20% ส่งอิควิตี้ลิงค์ขายถึง 5 มี.ค.
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          บลจ.กรุงศรีปลื้มเอยูเอ็มปี 54 ทะลุ 1 แสนล้านบาท หลังแบงก์แม่มีนโยบายสนับสนุนการขายเต็มที่ ตั้งเป้าปีนี้โตใกล้ 20% หวังธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเติบโตก้าวกระโดด หลังโชว์ผลงานเข้าตานักลงทุนสถาบันต่างชาติ ส่ง “กองอิควิตี้ลิงค์-กองตราสารหนี้ 6 เดือน” ขายถึง 5 มี.ค. 55 นี้
          นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อยุธยา เปิดเผยว่า สิ้นปี 2554 บริษัทมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มขึ้นเป็น 103,938 ล้านบาท ทะลุ 100,000 ล้านบาท แล้วเพิ่มขึ้น 16.85% จากสิ้นปี 2553 แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 66,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.49% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 17,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.40% และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 20,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.25%
          โดยในปี 2555 นี้ ตั้งเป้าการเติบโตในภาพรวมไว้ใกล้เคียง 20% โดยการเติบโตของบริษัทจะเป็นสัดส่วนที่มาจากกองทุนหุ้นค่อนข้างมากประมาณ 30% ซึ่งต่างจาก บลจ.อื่นที่การเติบโตจะหนักไปในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ ปัจจุบันนโยบายของทางธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นแบงก์แม่เองก็ให้การสนับสนุนในการขายโปรดักท์กองทุนให้กับบริษัทอย่างเต็มที่แล้วก็เชื่อว่าจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้
          เป้าหมายของแบงก์แม่เองอยากจะเห็น บลจ.กรุงศรีขยับขึ้นไปติดอันดับ 5 ของอุตสาหกรรม ซึ่งนั่นจะเป็นเป้าหมายที่จะพยายามไปให้ถึงต่อไปซึ่งคงต้องใช้เวลาเช่นกัน
          ทั้งนี้การเติบโตในปีนี้คงจะมาจากทุกธุรกิจทั้งกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะบริษัทเองมีความพร้อมทั้งระบบ ทีมงานที่มีประสบการณ์ รวมถึงผลงานที่ดีก็เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น คงเติบโตไปตามอุตสาหกรรมประมาณ 5-8%
          “แต่ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลยังมีศักยภาพและมีโอกาสที่จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ โดยปัจจุบันฐานลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลของบริษัทเป็นนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่ใช้บริการมากกว่า 50% เพราะโดยปกตินักลงทุนสถาบันต่างชาติที่จะจัดสรรเม็ดเงินลงทุนไปประเทศต่างๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะให้ผู้จัดการกองทุนในประเทศนั้นเป็นผู้ลงทุนให้เพราะรู้จักตลาดดีกว่า
          ประกอบกับผลงานที่ผ่านมาของบริษัทในช่วง 6 ปี ที่ผ่านมา ก็สร้างผลตอบแทนในส่วนของกองทุนหุ้นได้ค่อนข้างดีก็ยังมองเป็นโอกาสทางธุรกิจ เช่นเดียวกับการที่จะมีประชาคมอาเซียนเกิดขึ้นในปี 2558 นั้น ก็เป็นทั้งโอกาสและอาจมีคู่แข่งมากขึ้น แต่ถ้าประเทศเพื่อนบ้านสนใจจะเข้ามาลงทุนในไทย บริษัทเองก็มีความพร้อมที่จะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เขาจะมาใช้บริการผ่านเข้ามาลงทุนได้เช่นกัน”
          ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างเสนอขายกองทุนใหม่ 2 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ลิงค์คอมเพล็กซ์รีเทิร์น 18M1 และ 2) กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M9 คาดผลตอบแทนประมาณ 3.3% ต่อปี โดยจะเสนอขายทั้ง 2 กองทุนถึงวันที่ 5 มี.ค. 2555 นี้


INGจ่ายปันผลกองผสม0.50บาท/หน่วย ชี้ปรับพอร์ตตามภาวะตลาดที่ผันผวน
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ.ไอเอ็นจีจ่ายเงินปันผล "ไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์"ในอัตราหน่วยละ 0.50 บาท เดินหน้าจ่ายเงินในวันที่ 12 มีนาคม 2555 เผยกองทุนรับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการลงทุนที่ยืดหยุ่น และผู้จัดการกองทุนปรับพอร์ตตามภาวะตลาดที่ผันผวน จึงสามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 20
          นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไอเอ็นจี ในฐานะบริษัทจัดการ"กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์" ได้กำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยในวันที่29 กุมภาพันธ์ 2555 เพื่อทำการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 20 จากผลการดำเนินงานสำหรับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อ ณ วันปิดสมุดทะเบียนหน่วยลงทุน โดยบริษัทได้พิจารณาประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุน โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 12 มีนาคม 2555
          สำหรับ กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ เป็นกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนระยะปานกลางถึงระยะยาวในตราสารทุนและตราสารหนี้ โดยจะลงทุนในตราสารทุนในขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 65% และไม่น้อยกว่า 35% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดยสามารถปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนในหุ้นให้สอดคล้องกับภาวะตลาดและนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก
          ทั้งนี้ กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์มีจุดเด่นอยู่ที่การเป็นกองทุนผสมที่มีความยืดหยุ่น ทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถบริหารการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาดได้ และสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยหากพิจารณาผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (18 กรกฎาคม 2540) ถึง 27 มกราคม 2555 กองทุนมีผลตอบแทนรวม 316.78% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ 114.97% ทำให้กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอแต่หากพิจารณาผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี2555 กองทุนมีผลตอบแทนรวม 3.70% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ 2.73% โดยในช่วง 3 เดือนย้อนหลังผลตอบแทนอยู่ที่ 7.89%, 6 เดือนเท่ากับ -0.60%, 1 ปีเท่ากับ 7.84% และ3 ปีเท่ากับ 90.60% ในขณะที่ดัชนีเปรียบเทียบอยู่ที่ 5.87%, -0.33%, 7.73% และ66.04% ตามลำดับ
          สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2012 คาดว่ายังน่าลงทุน จากมาตรการภาครัฐและการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นการขยายตัวของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ยังโตต่อเนื่อง และมูลค่าหุ้นที่ถูกจะเป็นสิ่งจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทย โดยนับตั้งแต่ต้นปีจากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 41,574 ล้านบาท (22 กุมภาพันธ์2555)  ส่วนปัจจัยเสี่ยงยังคงมาจากภายนอกประเทศ ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกลุ่มยูโรและปัญหาการดำเนินนโยบายการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนอยู่เป็นระยะ
          "ทาง บลจ.ไอเอ็นจี เชื่อมั่นว่ากองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน เพราะจุดเด่นของกองทุนนี้คือความยืดหยุ่นในการลงทุนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ และมีการปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างสมดุล (Portfolio Rebalancing) ให้เหมาะสมกับสภาพการลงทุนในขณะนั้น จึงทำให้กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จากประวัติการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนและรวมการจ่ายเงินปันผลครั้งนี้จะมีจำนวนรวมถึง 16.107 บาทต่อหน่วย อีกทั้งกองทุนยังได้  MorningStar Rating (Overall) 4-ดาว (ข้อมูล ณ 31 มกราคม2555) (www.morningstarthailand.com)ดังนั้น เรามั่นใจว่ากองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ จะยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุน" นายจุมพลกล่าว


ทิสโก้ชู'เอเชีย'แกร่งหุ้นวิ่งต่อส่งกองใหม่เป้า10%ใน4เดือนหุ้นไทยแพงแนะทยอยทำกำไร
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

          บลจ.ทิสโก้ ออกกองทุนลุยหุ้นเอเชีย มองราคายังถูกส่วนหุ้นไทยถึงเป้าแรก 1,150 จุดแนะทยอยทำกำไร ING มองหุ้นผันผวนตามปัจจัยนอก
          นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ ได้ออกกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปนทริกเกอร์ 10% #5 ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ตั้งเป้ากำไร 10%ในระยะเวลาประมาณ 4 เดือนเนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจและหุ้นเอเชียยังมีแนวโน้มที่ดี ขณะที่ราคาหุ้นยังถูกกว่าภูมิภาคอื่นโดยเปิดขายครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 1-9 มี.ค.2555 ลงทุนขั้นต่ำ 2 หมื่นบาท
          กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Lyxor ETF MSCI AC Asia-Pacific ex Japan ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ
          นอกจากนี้ เปิดขายกองทุนเปิดทิสโก้ตราสารหนี้โรลโอเวอร์ 3M2 ลงทุนตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝากที่เสนอขายทั้งในและต่างประเทศเสนอขายวันที่ 29 ก.พ.-5 มี.ค.นี้
          "วิกฤตยุโรปเริ่มคลี่คลายหลังกรีซได้รับอนุมัติเงินช่วยเหลือรอบ 2 ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นทั่วโลก ขณะที่ดอกเบี้ยต่ำมาก ทำให้นักลงทุนต้องแสวงหาผลตอบแทนจากตลาดหุ้น และมีการทำดอลลาร์แครีเทรดอีกครั้ง เพราะต้นทุนทางการเงินในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำมาก"
          นายธีรนาถ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงเป้าหมายของปีนี้ที่บริษัทมองไว้ 1,150-1,200 จุด ทำให้โอกาสในการหากำไรมีน้อยลง นักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นควรรอจังหวะหุ้นปรับฐานแล้วค่อยซื้อ ส่วนที่มีอยู่แล้วแนะนำให้ทยอยขายทำกำไร และเลือกหุ้นที่ราคายังไม่ปรับขึ้นมาก
          สำหรับกองทุนรวมของบริษัทหากเป็นกองทุนหุ้นยังคงน้ำหนักลงทุนเต็มพอร์ต อาจมีเปลี่ยนตัวเล่นหากราคาบางตัวสูงไป ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลลูกค้าได้ทยอยขายทำกำไรออกมาแล้ว พี/อี ซื้อขายที่ 12 เท่า ซึ่งเชื่อว่าต่างชาติจะเริ่มกลับมาดูและเลือกตลาดที่ถูกกว่า
          ด้านนายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่ากองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ ปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยในวันที่ 29 ก.พ. 2555 เพื่อจ่ายเงินปันผลจากผลดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2554-31 ม.ค. 2555 ในอัตรา0.50 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินในวันที่ 12 มี.ค. 2555 โดยตั้งแต่ต้นปีกองทุนมีผลตอบแทน 3.70%สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ 2.73%
          สำหรับตลาดหุ้นไทยปี 2555 ยังน่าลงทุน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 22 ก.พ. ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 4.15 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจัยเสี่ยงอยู่ที่ต่างประเทศ ทั้งหนี้ยุโรปและการดำเนินนโยบายการคลังของสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้หุ้นไทยผันผวนเป็นระยะ



บลจ.กรุงไทย ตีปีกกุมภาฯเงินไหลเข้าหมื่นล.
Source - เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ (Th)

          เดือนกุมภาพันธ์อุตสาหกรรมกองทุนรวมหลุดตัวแดง เงินทะลักเข้ากองทุนตราสารหนี้ บลจ.กรุงไทยฯ เผยระดมเงินลงทุนได้ 10,230 ล้านบาท ขณะที่รับเดือนมกราคม เอ็นเอวีติดลบ 559 ล้านบาท
          ลุยออกเทอมฟันด์ถึงสิ้นไตรมาสแรก คาดตราสารหนี้อายุ 1 ปีมาแรง
          นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)กรุงไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2555 คาดว่าจะเป็นเดือนที่ดีของอุตสาหกรรมกองทุนรวม เห็นได้จากบลจ.กรุงไทยฯ ที่มียอดขายกองทุนดีขึ้น โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้แบบมีระยะเวลาการลงทุน หรือเทอมฟันด์ โดย ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 สามารถระดมเงินลงทุนได้ถึง 10,230 ล้านบาท
          จากยอดขายกองทุนของบลจ.กรุงไทยฯข้างต้น หากให้เป็นตัวแทนของทั้งอุตสาหกรรม ก็ต้องถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ที่กองทุนรวมทั้งอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ติดตัวแดง สะท้อนว่ามีกองทุนครบอายุและบลจ.ไม่สามารถออกกองทุนรองรับได้หมด
          สำหรับบลจ.กรุงไทยฯ ติดลบ 559 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 มกราคม 2555 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ(เอ็นเอวี) 1.58 แสนล้านบาท เปลี่ยนแปลง 0.35% มีส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรม ที่สัดส่วน 8.61 %
          อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบเดือนมกราคม 2555 กับเดือนมกราคม 2554 บริษัทได้ออกกองทุนใหม่จำนวน 6 กองทุน มียอดขาย 6,330 ล้านบาท และมีกองทุนรวมเดิม 25 กอง มียอดขาย 5,700 ล้านบาท รวมยอดขายเดือนมกราคม 2555 จำนวน 12,000 ล้านบาท เพิ่มจากเดือนมกราคม 2554 จำนวน 3,559 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 42%
          นายสมชัย กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้บริษัทมองว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมจะดีขึ้นโดยเฉพาะจนถึงสิ้นไตรมาสแรก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้เมื่อเทียบผลตอบแทนระหว่างการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศกับหุ้นกู้ในประเทศจะเห็นว่าตราสารหนี้ต่างประเทศให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ตัวอย่างเช่น การออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของธนาคารพาณิชย์ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 3.50% ต่อปี ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศให้ผลตอบแทน 4% กว่าต่อปี เป็นต้น
          ดังนั้นจนถึงสิ้นไตรมาสแรกบลจ.กรุงไทยฯ จึงมีนโยบายออกกองทุนเทอมฟันด์ อีกทั้งคาดว่าทั้งอุตสาหกรรมจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ขณะที่คาดว่ากองทุนที่ออกจะมีอายุที่ยาวขึ้น คือ 1 ปี เนื่องจากคาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยถ้าไม่ทรงตัว ก็ปรับตัวลงได้อีก เนื่องจากรัฐบาลยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
          อนึ่งล่าสุดบลจ.กุรงไทยฯ ได้ออกกองทุนเปิดเคแทม อิควิตี้ ลิงค์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 1 ปี ( KTEL 1Y ) อายุโครงการ 1 ปี มูลค่า 1,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่ลงทุนในออพชันที่อ้างอิงผลตอบแทนของตราสารทุนไทย ออกโดยสถาบันการเงินไทย ในสัดส่วน 3-5% ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำ อาบูดาบี คอมเมอร์เชียล แบงก์ (เอดีซีบี) สัดส่วน 25% และเงินฝากประจำ ยูเนี่ยน เนชั่นแนลแบงก์ (ยูเอ็นบี) สัดส่วน 20% เป็นต้น นอกจากนี้ลงทุนในเงินฝาก ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้สถาบันการเงิน หรือบริษัทเอกชนในประเทศ 25 -27% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน



เม็ดเงินต่างชาติดันหุ้นไทยขยับต่อ กูรูชี้ระยะกลาง-ยาวความเสี่ยงยังอยู่
Source - ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          โบรกเกอร์กองทุนรวม เผย ปัญหาหนี้ยุโรปเริ่มชัดเจน ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทย ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยขยับต่อ เตือนระยะกลางถึงระยะยาวความเสี่ยงยังคงมีอยู่ พร้อมแนะเก็งกำไรกองทุน K-OIL แต่ต้องยังต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้วย
          นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund Super Mart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเก็งกำไรในกองทุนน้ำมัน ความน่าสนใจของกองทุนน้ำมันยังไม่หมด แม้ว่าระยะสั้นอาจเจอแนวต้านแถว 110 US$/bbl. แต่ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและชาติตะวันตกยังส่งผลกระทบต่อความกังวลในเรื่องอุปทานน้ำมัน ราคาน้ำมันจึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวขึ้นต่อ ดั้งนั้น เราจึงแนะนำให้ถือลุ้นเก็งกำไรกองทุน้ำมันต่อไป โดยกองทุนน้ำมันที่แนะนำยังคงเป็น K-OILของ บลจ. กสิกรไทย อย่างไรก็ตาม การเก็งกำไรยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงจากผลกระทบปัญหาหนี้ยุโรป และราคาน้ำมันพร้อมปรับลงได้ทุกเมื่อ หากสถานการณ์อุปทานกลับมาดีขึ้น
          สำหรับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ระยะสั้น เราคาดว่าปัจจัยการเคลื่อนย้ายเงินทุน และความคาดหวังของนักลงทุนต่อมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมจากยุโรปในสัปดาห์นี้จะยังทำให้ระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีก และตลาดเกิดใหม่ก็ยังคงเป็นที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเรายังต้องระมัดระวังการลงทุนระยะกลางถึงยาวต่อไป ปัญหาหนี้ยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าจับตามองต่อไป ความผันผวนยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และหลังจากลดพอร์ตการลงทุนไปแล้วบางส่วน เรายังคงแนะนำให้ Wait and See ต่อไป และอาจทยอยลดเพิ่มหากราคาสินทรัพย์เสี่ยงยังปรับขึ้นต่อ เงินลงทุนก้อนใหม่ยังแนะนำพักไว้ใน “PCASH” ซึ่งเป็นกองทุนตลาดเงินของ บลจ.ฟิลลิป ต่อไปก่อน
          อย่างไรก็ตามด้วยความพยายามอยู่นานสุดท้ายกรีซสามารถบรรลุข้อตกลงขอความช่วยเหลือทางการเงินรอบ 2 ได้สำเร็จดังที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า โดยเมื่อผลออกมาเป็นไปตามที่ตลาดได้คาดการณ์กันไว้ล่วงหน้า การปรับขึ้นจึงเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ขณะที่ตลาดเริ่มมองไปข้างหน้าอีกครั้งด้วยข้อตกลงที่เข้มงวด อาจทำให้กรีซไม่สามารถปฏิบัติตามที่ได้ตกลงกันไว้ความเสี่ยงปัญหาหนี้ในยุโรปจึงยังไม่ได้หายไป นอกจากนี้ ด้วยมาตรการปรับลดงบประมานขาดดุล ลดรายจ่ายภาครัฐลงอย่างมากจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศในยุโรปชะลอตัวลงและมีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ทำให้ตลาดเริ่มชะลอมารอดูสถานการณ์
          ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงกระตุ้นให้นักลงทุนมั่นใจการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วทรงตัวอยู่ที่ 351,000 ราย สามารถรักษาระดับไว้ได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และตัวเลขตลาดบ้านก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามความกังวลจากทางฝั่งยุโรปทำให้ตลาดยังปรับขึ้นได้ไม่มากนัก โดยปัจจัยที่ต้องจับตามองยังคงเป็นปัญหาหนี้ยุโรป การปล่อยสภาพคล่องเพิ่มเติมของประเทศตะวันตก และความยั่งยืนของเศรษฐกิจสหรัฐตามเดิม
          ทางฝั่งตลาดหุ้นเอเชียนั้นกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะเอเชีย แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากฝั่งยุโรปบ้างแต่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหนุนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมรวมถึงการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองธนาคารพาณิชย์จีน ช่วยให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องต่างชาติเข้ามาสะสมหุ้นแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท หนุนดัชนี SETI ปิดที่1,146.14 จุด (+1.43% WoW) แต่ต้องระวังการขายทำกำไรระยะสั้นของต่างชาติไว้ด้วย
          สำหรับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งราคาทองคำ และราคาน้ำมัน ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันปิดที่ 109.77 US$/bbl. (+6.33% WoW) โดยมีปัจจัยความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลต่ออุปทานน้ำมัน ขณะที่ราคาทองคำก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นผ่านแนวต้านที่ 1,750 US$/oz. ไปได้ บนคาดการณ์ที่หลายประเทศมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสภาพคล่องเข้ามาอีกและความเสี่ยงที่ปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่จบ ราคาทองคำสัปดาห์นี้ปิดที่ 1,780.74 US$/oz. (+3.42% WoW)
          อย่างไรก็ตามสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังคงปรับเพิ่มความชันขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพันธบัตรระยะสั้นอายุ 6 เดือน อัตราผลตอบแทนทรงตัวใกล้เคียงเดิม +1Bps. เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 1 ปี ที่ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +1 Bps.ขณะที่พันธบัตรอายุ 5 ปี และ 10 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้น +6 Bps. ทั้งคู่สัปดาห์นี้เราคาดว่าจะยังคงเห็นการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในทิศทางเดิม แบบค่อยเป็นค่อยไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น