วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 27-01-2012

·        สมาคมบลจ.ฟันธงกองทุนสดใส หวัง10ปีสินทรัพย์แตะ3ล้านล้าน ธน
·        ธชาตชี้3ปัจจัยกดดอกเบี้ย ชงกองทุน6เดือนรับยิลด์3.2%
·        ฟันด์โฟลว์แห่เข้าไทย ปัญหากรีซคลี่คลาย เผย 5 หุ้นเด่นทำกำไรระยะยาว
·        อัตราเงินเฟออินเดียชะลอตัวลง UOBชี้ส่งสัญญาณกลับเข้าซื้อหุ้น


สมาคมบลจ.ฟันธงกองทุนสดใส หวัง10ปีสินทรัพย์แตะ3ล้านล้าน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          สมาคม บลจ.มั่นใจอุตสาหกรรมกองทุนรวมมีโอกาสเติบโตอีกมาก หวัง 10 ปี สินทรัพย์แตะ 3 ล้าน ล้านบาท วอนทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ประชาชนเรื่องการออม-การลงทุนมาก ขึ้น ชี้กองหุ้นไทยโตด้วยกองทุนประหยัดภาษี หวังรัฐคงประโยชน์กอง LTF ถึงปี 59 ระบุแชมป์กองหุ้นปี 54 เน้นลงทุนใน หุ้นใหญ่-เน้นคุณค่า เลือกหุ้นดีแล้วถือยาวเป็นหลัก
          นายสถาปนะ เลี้ยวประไพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า หากมองโอกาสการเติบโตของธุรกิจและโอกาสในการขยายฐานของผู้ลงทุนของธุรกิจกอง ทุนรวมนั้นถือว่ายังมี หากให้อุตสาหกรรมโตเฉลี่ยปีละ 3% ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาทได้ โดยในปี 2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจกองทุนรวมมีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.08 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.48% จากสิ้นปี 2553 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20.39% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีจำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2.72 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 10.57% จากสิ้นปี 2553
          เขากล่าวต่อว่า หากเทียบเคียงกับบัญชีเงินฝากที่มีเงินมากกว่า 1 ล้านบาท ก็จะมีประมาณ 2 ล้านบัญชี จากทั้งหมดประมาณ 70 ล้านบัญชี ก็เชื่อว่ากลุ่มผู้มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทนี้ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนรวมเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของตลาดแรงงานในปัจจุบันมีประมาณ 38 ล้านคน ในกลุ่มคนทำงานที่มีเงินออมที่สามารถจะลงทุนได้น่าจะมีประมาณ 10 ล้านคน
          ดังนั้นโอกาสตรงนี้ก็ยังมีอีก เพียงแต่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันให้ความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้คนเหล่านี้อ่านออกเขียนได้ทางการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตัวของธุรกิจติดตามมาในอนาคตด้วยเช่นกัน
          ทั้งนี้ ธุรกิจกองทุนรวมของไทยจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ประมาณ60%และตราสารทุน22%ต่างจากในประเทศสหรัฐหรือประเทศที่พัฒนาแล้วที่สัดส่วนดังกล่าวจะตรงข้ามกันโดยในต่างประเทศจะมีสัดส่วนกองทุนตราสารหนี้30-40%และเป็นกองทุนหุ้น60%
          ไทยต้องยอมรับว่ากองทุนหุ้นเติบโต ซึ่งเติบโตจากแอลเอฟที และอาร์เอ็มเอฟ ที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก        
          นายพีร์ ยงวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บจ.มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี 2554 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักลงทุนที่เข้าไปดูข้อมูลผ่านเว็บไซต์ morningstarthailand.com เพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านครั้ง จากในปี 2553 ที่ประมาณ 5 แสนครั้ง หรือเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ส่วนในปีนี้ บริษัทก็คาดหวังให้นักลงทุนมีการเข้ามาใช้ข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่พฤติกรรมการใช้ของนักลงทุนไทยจะเข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลลงทุนของกองทุนประหยัดภาษี
          ดังนั้นแสดงว่านักลงทุน ยังมีพฤติกรรมเข้าลงทุนครั้งเดียวในช่วงปลายปี หากเข้าลงทุนผิดจังหวะ ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน เพราะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนค่อนข้างสูง การเฉลี่ยลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีกว่าสำหรับ นักลงทุน บริษัทจึงพยายามผลักดันให้นักลงทุนใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Star Rating การลงทุนระยะยาว การดูข้อมูลค่าใช้จ่ายประกอบการตัดสินใจลงทุน เป็นต้น
          ในอนาคตบริษัทอาจจัดเรทติ้งให้ดาวกับผู้จัดการ กองทุนที่บริหารกองทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ได้พูดคุยกับทางมอร์นิ่งสตาร์ภูมิภาคว่าจะทำได้หรือไม่ ใช้กระบวนการไหน เพราะในเอเชียการบริหารมักจะเป็นทีมใช้คณะกรรมการเป็นหลัก ต่างกับทางฝั่งตะวันตกที่จะใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้จัดการกองทุนไปเลย ทำให้การจัดเรทติ้งผู้จัดการกองทุนในฝั่งตะวันตกทำได้ แต่วัฒนธรรมในฝั่งเอเชียต่างกันออกไป หากจะทำคงต้องหากระบวนการที่จะใช้วัดผลงานผู้จัดการกองทุนขึ้นมาให้เหมาะสม กับรูปแบบในการบริหารด้วยเช่นกัน
          นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์ข้อมูล บจ.มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปี 2554 ที่ผ่านมา กองทุนหุ้นที่มีผลงานดีสุด 10 อันดับแรก ซึ่งเป็นของ บลจ.บัวหลวง 8 กองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี 1 กองทุน และ บลจ.ยูโอบี (ไทย) 1 กอง ทุน จะมีสไตล์การบริหารที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่แบบเน้นคุณค่า โดยเป็นลักษณะของการเลือกหุ้นที่ดีแล้ว ถือว่าไม่ค่อยเทรดเท่าไร เพราะตัวเลขของ Turn Over Ratio เฉลี่ยของกองหุ้นทั้งหมดอยู่ที่ 401.51% แต่กองหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดส่วนใหญ่จะมี Turn Over ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
          กลุ่มอุตสาหกรรมที่กองทุนที่มีผลงานดีสุดในปี 2554 เลือกลงทุน ได้แก่ 1. สถาบันการเงิน 29.5% 2. สินค้าอุปโภคบริโภค 21.0% 3. สื่อสาร 10.5% 4. พลังงาน 10.0% และ 5. วัสดุก่อสร้าง 8.8%
          ส่วนหุ้น 5 หลักทรัพย์ที่กองทุนที่มีผลงานดีสุดถือ ประกอบด้วย 1. บริษัท ซีพี ออลล์ 8.92% 2. ธนาคารกรุงเทพ 8.82% 3.บริษัท ปตท. 6.17% 4. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 6.10% และ 5.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 5.47%
          ส่วนตัวมองว่า หากมีการยกเลิกประโยชน์ทางภาษีกองทุน LTF นักลงทุนที่เคยลงทุนอยู่เดิมก็คงไม่ไปลงทุนผ่านกองทุน RMF เพราะมีเงื่อนไขการลงทุนที่นานและระยะเวลาการลงทุนนาน และส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทุน LTF โตได้ เพราะนักลงทุนไทยชอบอะไรที่ชัวร์ เมื่อลงทุนแล้วรู้แน่นอนว่าตัวเองได้ประโยชน์ทางภาษีแล้วแน่นอน 10-37% ตามฐานภาษี ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนอื่นค่อยไปลุ้นกันอีกที แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ทางภาษีแล้วจะให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นคงไม่ง่าย เพราะหุ้นมีความผันผวนลงทุนแล้วจะได้เท่าไรก็ไม่รู้ นักลงทุนไทยไม่ชอบ


ธนชาตชี้3ปัจจัยกดดอกเบี้ยชงกองทุน6เดือนรับยิลด์3.2%
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ. ธนชาต ชี้ 3 ปัจจัยกดดอกเบี้ยลง สอดรับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศหลังน้ำท่วม ล่าสุด ส่งกองทุน 6 เดือนรองรับเงินนักลงทุน เน้นลงทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ เสนอขายถึง 30 มกราคมนี้
          นายวิศิษฐ์ ชื่นรัตนกุล ผู้จัดการกองทุนอาวุโส กองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยในช่วงครึ่งปีแรกพบว่ายังไม่มีแนว โน้มจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังจำเป็นต้องอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะ เพื่อให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังภาวะ น้ำท่วมไม่สะดุดลง และยังช่วยลดแรงกดดันไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป
          ประการที่สอง คือ อัตราดอกเบี้ยสำคัญๆ ของโลกยังมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง โดยเฉพาะดอกเบี้ยของประเทศในแถบเอเชีย หลังจากที่เราเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น จึงยังไม่มีแรงกดดันจากต่างประเทศมากดดันให้ดอกเบี้ยไทยต้องปรับเพิ่มขึ้น
          ประการสุดท้าย เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงในปีนี้ จากปัญหาหนี้ในยุโรปและการรัดเข็มขัดของทางการจีน และข้อจำกัดในการเบิกจ่ายงบประมาณในประเทศ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย การใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำก็จะเข้ามาช่วยดูแลความเสี่ยงดังกล่าวได้
          ทั้งนี้ บลจ.ธนชาตเห็นโอกาสที่ผู้ลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทน ที่ดีได้ ในระหว่างที่อัตราดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มที่จะไม่เพิ่มขึ้นนี้ จึงเสนอขายกองทุนเปิดธนชาต  F i x e d Income 7 (TFixedIncome7) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.2% ต่อปี ตั้งเป้าลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน A rab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank/ธนาคาร First Gulf Ban k ประมาณ 22% ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China ประมาณ 22% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ธนาคาร ICBC (Asia)/ธนาคาร Shinhan Bank ประมาณ 20%
          นอกจากนี้ ยังลงทุนในตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้/บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์/บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ประมาณ 18% ลงทุนในตั๋วแลกเงิน บจ.น้ำตาลมิตรผล/บจ.โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย)/ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) ประมาณ 17.90% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศประมาณ 0.10% ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 3.5139% ต่อปี โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.3139% ต่อปี ทั้งนี้ กองทุนจะเสนอขายครั้งเดียววันที่ 26-30 มกราคม 2555
          ทั้งนี้ บลจ.ธนชาตคาดการณ์แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปี 2555 ในระยะแรก คาดว่ายังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่น่าจะทรง ตัว หรืออาจปรับลดลงได้อีก หากมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในระยะถัดไป คาดว่าตลาดตราสารหนี้อาจจะกลับมาผันผวน เนื่องจากภาระทาง การคลังจากนโยบายของรัฐมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าคาด และหากการจัดเก็บภาษีได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้มีความเสี่ยงที่ปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกใหม่ในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ.2555 น่าจะสูงกว่าที่ประเมินกันไว้ก่อนหน้า



ฟันด์โฟลว์แห่เข้าไทย ปัญหากรีซคลี่คลาย
Source - ข่าวหุ้น (Th)

          นักลงทุนต่างชาติขนเงินเข้าไทย ลุยเก็บหุ้นขนาดใหญ่รับปันผล ดันดัชนีเพิ่ม 12 จุด วอลุ่มทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาท หลังปัญหากรีซเริ่มคลี่คลาย ด้านสมาคมบริษัทจัดการลงทุนเผย 5 หุ้นเด่น เก็บทำกำไรระยาว CPALL-BBL-PPT-ADVANC และ ROBINS
          รายงานล่าสุดแจ้งว่า เจ้าหนี้ภาคเอกชนของกรีซ  ต้องการหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้จึงพิจารณาที่จะลดผลตอบแทนของพันธบัตรลงเหลือ 3.75% จากเดิม 4% เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันเวลา ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า
          ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน จากแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศสุทธิ   496 ล้านบาท มาปิดที่ 1,068.54 จุด เพิ่มขึ้น 12.53 จุด หรือ 1.19% มูลค่าการซื้อขาย 2.5 หมื่นล้านบาท
          ด้านนักวิเคราะห์มองว่า จากปัญหาต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะกรีซเริ่มคลี่คลาย รวมทั้งการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพ  และการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย  ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์เริ่มไหลเข้ามาวานนี้ค่อนข้างขัดเจน โดยเข้ามาเก็บหุ้นขนาดใหญ่ที่กำลังจะจ่ายปันผลในช่วงไตรมาสแรก
          นายสถาปนะ เลี้ยวประไพ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC เปิดเผยว่า หลักทรัพย์เด่นที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เลือกลงทุนเพื่อทำกำไรในระยาว ประกอบด้วย หุ้น CPALL สัดส่วนการลงทุนสูงถึง 8.92% ของพอร์ตลงทุน หุ้น BBL 8.82% หุ้น PPT 6.17% หุ้น ADVANC 6.10% และหุ้น ROBINS 5.47% โดยเฉพาะกองทุนระดับ 5 ดาวที่มีผลตอบแทนในระดับสูง ทั้งนี้ จะเห็นได้หลักทรัพย์ดังกล่าวมีแนวโน้มในการทำกำไรในระยะยาวค่อนข้างดีมาก จนกองทุนต่างก็เลือกเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลตอบแทนกองทุนเติบโตดี
          สำหรับทิศทางการลงทุนช่วงปีนี้ เชื่อว่ายังคงเป็นปีที่มีความผันผวนต่อเนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นยังคงรอการแก้ไขและความชัดเจน โดยน้ำหนักส่วนใหญ่ยังเทไปที่การแก้ปัญหาหนี้ยุโรป และราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้นจากความกังวลล่าสุดต่อสถานการณ์ในอิหร่านและ เกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นเช่นกัน
          ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง ยังไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญในการดึงฐานนักลงทุนระหว่างธนาคารพาณิชย์กับ บลจ. เมื่อเทียบกับโอกาสการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหากมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว แน่นอนว่านักลงทุนเกิดความกังวลและหันไปลงทุนส่วนอื่นแทน และการลงทุนในกองทุนก็ยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่นักลงทุนสนใจ
          อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวคิดยกเลิกสิทธิทางภาษีสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF และ RMF ก่อนกำหนดในปี 2559 นั้น มองว่า เป็นแนวคิดที่ไม่ค่อยเอื้อต่อการกระตุ้นตลาดทุนไทยโตนัก จะเห็นได้ว่าการมีสิทธิประโยชน์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนหันมาสนใจเข้ามาลง ทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯมากขึ้นกว่าเดิม และหากมีการยกเลิกแนวทางดังกล่าวจริงผลกระทบย่อมเกิดขึ้นแน่ ดังนั้น การเลิกสิทธิทางภาษีให้เป็นไปตามกำหนดเดิมน่าจะดีที่สุด
          นายสถาปนะ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนในอุตสาหกรรม พบว่า  ทองคำเป็นกลุ่มกองทุนที่โดดเด่นที่สุดที่สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 17.86% แม้ว่าจะมีความผันผวนอย่างมากก็ตาม ส่วนทิศทางราคาทองคำในปีนี้ เชื่อว่า มีความผันผวนและการปรับขึ้นของราคาจะไม่หวือหวาเท่าช่วงปีที่ผ่านมา  ขณะที่กองทุนหุ้นในประเทศทั้งกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลางและเล็กถือว่าทรงตัว ส่วนที่ติดลบอย่างหนักจะเป็นกลุ่ม Emerging Market Equity และกลุ่ม Asian Pacific ex Japan ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาหนี้ในยุโรป
          สำหรับอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยในช่วงปีที่ผ่าน มา ถือว่าช่วงปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมกองทุนเติบโตน้อยและค่อนข้างซบเซาเมื่อ เทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมามีการเติบโตเพียง 50,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2%
          ทั้งนี้ เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ทั้งสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น ที่สำคัญที่สุด คือ การที่สถาบันการเงินต่างๆแข่งขันที่เกิดขึ้นเมื่อมาตรการรับประกันเงินฝาก แบบใหม่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการในช่วงกลางปีนี้
          อย่างไรก็ตาม แม้การเติบโตของกองทุนโตไม่มากในแง่ของมูลค่าทรัพย์สิน แต่ถ้ามองกันในแง่ของผลิตภัณฑ์นั้นต้องถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดย บลจ. ทุกที่ต่างแข่งขันกันออกสินค้าใหม่ๆ มาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน และที่โดดเด่นที่สุดคือ กองทุนทองคำ ETF ที่นักลงทุนสามารถซื้อขายและทราบราคาทองคำได้แบบเรียลไทม์
          นอกจากนี้ ยังมีกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น และ Sector Fund ออกมาให้เป็นทางเลือกเช่นกัน และในปีนี้อุตสาหกรรมจะมี บลจ. ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง คือ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และบลจ.ทองคำ แอสเซท

อัตราเงินเฟออินเดียชะลอตัวลง UOBชี้ส่งสัญญาณกลับเข้าซื้อหุ้น
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          จีนอนุมัติสถาบันต่างชาติเข้าซื้อหุ้นบอนด์หวัง ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ด้านเงินเฟ้อในอินเดียชะลอตัวลง ส่งสัญญาณดีในการกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นอินเดีย
          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ.ยูโอบี จำกัด รายงานภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศว่า จีนอนุมัติสถาบันต่างชาติรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าซื้อหุ้นและบอนด์ โดยจีนได้อนุมัติให้สถาบันต่างชาติ 14 แห่ง เข้าลงทุนในตลาดทุนของจีนโดยเพิ่มจำนวนใบขณะเดียวกันจีนมีแผนผ่อนปรนกฎการจด ทะเบียนในต่างประเทศสำหรับบริษัทจีน โดยนายเหยา กัง รองประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน (CSRC) เปิดเผยว่า จีนมีแผนจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมการจดทะเบียนในต่างประเทศสำหรับบริษัทจีน และจะผลักดันการขายหุ้นสกุลเงินหยวนในตลาดเงินหยวนในฮ่องกง ซึ่งการแก้ไขกฎระเบียบการจดทะเบียนในต่างประเทศในปีนี้เพื่อทำให้ขั้นตอน ง่ายขึ้น และลดอุปสรรคต่างๆ ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขที่ดีสำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งบริษัทเอกชนของจีนที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และยังกล่าวอีกว่าจะมีการขยายโครงการที่ทำให้นักลงทุนสามารถย้ายเงินลงทุน เข้าและออกจากตลาดทุนจีนได้ ด้วยการเพิ่มเพดานปัจจุบันภายใต้โครงการนี้
          ส่วนประเทศอินเดีย เงินเฟ้อที่ชะลอตัวในอินเดียน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการกลับเข้าไปลงทุนใน ตลาดหุ้นอินเดียโดยมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางของอินเดียจะปรับอัตราการขยายตัว ดอกเบี้ยลงภายหลังที่เงินเฟ้ออ่อนตัวลงต่ำกว่า 7% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
          ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองตัวเลขผู้ขอสวัสดิการการว่างงาน และภาคการผลิตขยายตัวบ่งชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัว ต่อเนื่องจำนวนชาวสหรัฐฯ ที่ขอสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตในแถบมิดแอตแลนติกขยายตัวปานกลาง โดยตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องต่อไปในปีนี้
          ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงาน และตัวเลขภาคการผลิตถือเป็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดในระยะนี้ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 3% ต่อปี ในไตรมาส 4/2011 โดยปรับตัวขึ้นจาก 1.8% ในไตรมาส 3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น