วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 11 มกราคม 2555

·        เอ็มเอฟซีขายกองตราสารหนี้ซื้อขายล่วงหน้ารับศักราชใหม่                              
·        บัวหลวงรับดีมานด์ปีมังกร เพิ่มทุนRMF-LTFรวมกว่า 25,000ล.
·        อเบอร์ดีนปลื้มยอดขายLTF-RMFพุ่ง1พันล้าน สูงสุดในรอบ 5 ปี
·        กรุงไทย กรุงศรี ธนชาต ควงแขนส่งกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเอาใจนักลงทุน
·        กรุงไทยชี้ปัญหาหนี้อียูเริ่มส่งสัญญาณบวก แต่ระวังหุ้น-บอนด์ทั่วโลกยังผันผวน
·         การเคหะแห่งชาติ วางใจ ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3 ปี
                   
'เอ็มเอฟซี'ขายกองตราสารหนี้ซื้อขายล่วงหน้า

Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

          เอ็มเอฟซี ขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล สเปเชี่ยล โน้ต 6 เดือน หรือ MSN 6M อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เป็นกองทุนผสมลงทุน เงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
          นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า เอ็มเอฟซีเปิดศักราชใหม่ปี 2555 โดยขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สเปเชี่ยล โน้ต 6 เดือน (MSN 6M) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 13 ม.ค.นี้  
          โดยเป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่ลงทุนในตราสารทุน แต่จะลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เพื่อส่งเสริมการลงทุนของผู้สนใจ  ซึ่ง ผู้ลงทุนไม่ต้องเสียภาษีของผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนสำหรับบุคคลธรรมดา และเป็นการกระจายการลงทุนนอกเหนือไปจากการลงทุนในตราสารทุนในตลาดหลักทรัพย์
          กองทุนเปิด MSN 6M มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งจะลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลเฉพาะ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง  ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่เสนอขายทั้งในและต่างประเทศ
          โดยกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลก เปลี่ยนเต็มจำนวน และหลังครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุน เปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน

บลจ.บัวหลวงรับดีมานด์ปีมังกร เพิ่มทุนRMF-LTFรวมกว่า25,000ล.
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

          บลจ. บัวหลวงประเดิมปีมังกรทองเพิ่มทุนกองทุน RMFLTF อีก 2 กอง "บัวหลวงระยะยาว และบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ" รวมกว่า25,000 ล้านบาท
          รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัดเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิดบัวหลวงระยะยาว (B-LTF)เป็น 15,000 ล้านบาท และกองทุนเปิดบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็น10,000 ล้านบาท
          ทั้งนี้กองทุนเปิดบัวหลวงระยะยาว ณวันที่ 9 มกราคม 2554 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 9,928.56 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 21.07 บาท โดยกองทุนให้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 30 ธันวาคม2554 ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 12.69% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 11.91% ย้อนหลัง6 เดือนที่ 8.35% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.23% และย้อนหลัง 1 ปีที่14.94% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่-0.72%
          ขณะเดียวกัน ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน2554 กองทุนได้เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน 14.42% กลุ่มธนาคารพาณิชย์17.83% กลุ่มขนส่งและลอจิสติกส์ 9.23%กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 6.30% กลุ่มสื่อสาร 7.64%และกลุ่มอื่นๆ อีก 36.93% นอกจากนี้แล้วกองทุนยังได้เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากอีก 2.33% และอื่นๆ อีก 5.32%รวมเป็น 100%
          นอกจากนี้ 5 อันดับแรกที่กองทุนได้เข้าไปลงทุนได้แก่ 1. บมจ. ซีพี ออลล์ 12.80%2. บมจ. ธนาคารกรุงเทพ 10.78% 3. บมจ.ท่าอากาศยานไทย  9.23% 4. บมจ. เบอร์ลี่ยุคเกอร์ 8.80% และบมจ. ปตท. อีก 7.70%
          ส่วนกองทุนเปิดบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (BFLRMF) ณ วันที่ 9 มกราคม 2554 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่5,117.12 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 33.79 บาท โดยกองทุนให้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 30 ธันวาคม2554 ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 11.59% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 6.95% ย้อนหลัง6 เดือนที่ 7.87% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.69% และย้อนหลัง 1 ปีที่14.43% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.60%
          ขณะเดียวกัน ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน2554 กองทุนได้เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน 13.73% กลุ่มธนาคารพาณิชย์17.22% กลุ่มขนส่งและลอจิสติกส์ 7.98%กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 5.61% กลุ่มสื่อสาร 5.02%และกลุ่มอื่นๆ อีก 33.17% นอกจากนี้แล้วกองทุนยังได้เข้าไปลงทุนในเงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงิน 0.38% พันธบัตรรัฐบาล/ธปท./ตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน 10.47% หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน 1.65% ตั๋วแลกเงิน 0.47% และอื่นๆอีก 4.30%
          นอกจากนี้ 5 อันดับแรกที่กองทุนได้เข้าไปลงทุนได้แก่ 1. บมจ. ซีพี ออลล์ 12.09%2. บมจ. ธนาคารกรุงเทพ 10.80% 3. บมจ.ท่าอากาศยานไทย  7.98% 4. บมจ. เบอร์ลี่ยุคเกอร์ 7.01% และบมจ. ปตท. อีก 7.63%
          ส่วน 4 อันดับแรกของตราสารหนี้เอกชนและอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารต่อบริษัทได้ แก่ 1. บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม อันดับ AAA ที่ 0.94%2. บมจ. ไทยออยล์ อันดับ AA- ที่ 0.48%3. บมจ.ธนาคารทหารไทย อันดับ A+ ที่ 0.47%และ 4. บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย)จำกัด อันดับ AAA ที่ 0.23%


อเบอร์ดีนปลื้มยอดขายLTF-RMFพุ่ง1พันล้าน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (Th)

          บลจ.อเบอร์ดีน ปลื้มยอดขายกองทุน LTF-RMF กว่า 1 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี
          ในช่วงปลายปี 2554 ที่ ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด มอบสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีและโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ในระยะยาว ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยอเบอร์ดีนนำเสนอ LTF และ RMF ทั้งหมด 4 กองทุนซึ่งประกอบไปด้วย LTF 1 กองทุน (กองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว (ABLTF)) และ RMF 3 กองทุน (กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSC-RMF) กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสมาร์ทอินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSI-RMF) และกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิค เอคควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABAPAC-RMF)) กองทุนดังกล่าวทั้งหมดนั้นถูกบริหารจัดการโดยผู้จัดการกอง ทุนมืออาชีพด้วยปรัชญาการลงทุนของ อเบอร์ดีน ที่ใช้กับทุกสำนักงานของ อเบอร์ดีน ทั่วโลก
          การบริหารงานและผลการดำเนินงานที่โดดเด่นดึงดูดความสนใจของนักลงทุนในการลงทุนผ่าน LTF และ RMF ส่งผลให้มียอดเงินลงทุนใน LTF และ RMF ทั้ง 4 กองทุน รวม 1,072 ล้านบาท ในปี 2554 สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ต้นปี 2550
          สำหรับกองทุน ABLTF และ ABSC-RMF ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน มีอัตราผลตอบแทน ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2554 ที่ดีเยี่ยมดังนี้


3 บลจ.เครือแบงก์ออกบอนด์สั้นชูผลตอบแทนจูงใจกว่าเงินฝาก
Source - สยามธุรกิจ (Th)

          บลจ.กรุงไทย บลจ.กรุงศรี และบลจ.ธนชาต ควงแขนส่งกองทุน ตราสารหนี้ระยะสั้นเอาใจนักลงทุน ประมาณการผลตอบแทนจูงใจกว่าฝากเงิน เปิดขายไอพีโอพร้อมกันตั้งแต่วันนี้ถึง 10 มกราคม 2555
          ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2555 โดย เฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกจะยังคงมีความผันผวน โดยเฉพาะจากวิกฤติหนี้สิน ในยุโรป ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ออกมาให้คำแนะนำ โดยให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งถือเป็น สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้เน้นที่ตราสารหนี้ระยะสั้นก่อน ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 55 คาดว่าดัชนีฯจะเคลื่อนไหวในกรอบ 900-1,200 จุด โดยมี P/E อยู่ที่ประมาณ 12 เท่า ใกล้เคียงปีก่อน ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างเร่งออกผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับกับความต้องการของนักลงทุน
          เริ่มจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด โดยนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้จะแกว่งตัวในระดับใกล้เคียง 3.00-3.05% สอดรับกับการคาดการณ์ของตลาดการเงิน ที่คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 3.25% ในการประชุมในวันที่ 25 มกราคมนี้ เพื่อให้มีผลชี้นำต่อสถาบันการเงินในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงิน กู้ยืม และเพื่อรองรับความเสี่ยงจากปัญหาต่อเนื่องผลกระทบของมหาอุทกภัยที่มีต่อการ เติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่จะกระทบต่อภาคการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ
          ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและตั๋วแลกเงิน ระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มจะลดลงได้อีก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 3 เดือน ในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะ 6 เดือน และ 1 ปี สะท้อนการคาดการณ์ของที่อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสจะปรับลดลงได้อีก ดังนั้น การฝากเงินระยะ 3 เดือน แม้จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะ 6 เดือน แต่จะเผชิญกับความเสี่ยงจากการได้รับผลตอบแทนที่ลดลงเมื่อจะมีการลงทุนใหม่หลังครบระยะเวลา 3 เดือน (Reinvestment Risk)
          นายสมชัย กล่าวต่อว่า บลจ.กำลังเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 24 (KTSUPB24 ) เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 10 มกราคม 2555 เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝาก ตราสารการเงินระยะสั้น ตั๋วแลกเงินบริษัทเอกชนไทย ในสัดส่วน 55% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
          ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำ First Gulf Bank (FGB) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 3 ในอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เงินฝากประจำ Union Nationl Bank (UNB) ซึ่งเป็นธนาคารที่ดำเนินกิจการในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือหุ้นใหญ่ โดยองค์กรเพื่อ การลงทุนของภาครัฐอาบูดาบี และเงินฝากประจำ Bank of China ซึ่งเป็นธนาคารภาครัฐถือหุ้นใหญ่โดย หน่วยงานเพื่อการลงทุนของรัฐบาลจีน สัดส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.40% ต่อปี
          นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 4 ( KTFIX6M4) ประเภท Roll Over ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 10 มกราคม 2554 อายุโครงการ 6 เดือน เป็นกองทุน ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐทั้ง 100% ผลตอบแทนประมาณการที่ 2.75% ต่อปี
          ด้านนายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี จำกัด กล่าว ว่า บริษัทเปิดรับศักราชใหม่ด้วยกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 3M3 (KFFIX3M3) เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนรวมทั้งฐานลูกค้าของกลุ่มกรุงศรี ให้สามารถใช้บริการทาง การเงินของกลุ่มกรุงศรีได้มากยิ่งขึ้นโดยกองทุนตราสารหนี้เป็นทางเลือก สำหรับการกระจายการลงทุนเพื่อรองรับมาตรการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากของ สถาบัน การเงินเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคนต่อสถาบันการเงินที่จะมีผลในวันที่ 11 ส.ค. 55 นี้ บลจ.กรุงศรี ยึดมั่นการคัดเลือกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ การจัดสัดส่วนการลงทุนมีการกระจายความเสี่ยง เพื่อให้กองทุนภายใต้การบริหารจัดการสร้างผลตอบแทนที่ดีภายใต้ความเสี่ยงที่ เหมาะสม สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่มีกำหนดครบอายุทาง บลจ.กรุงศรี จะมีการเสนอขายกองทุนใหม่ทุกสัปดาห์ตลอดปี 2555
          สำหรับกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 3M3 (KFFIX3M3) อายุโครงการประมาณ 3 เดือน เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย สัดส่วนการลงทุน 56% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 24 % และเงินฝากธนาคาร Bank of China สัดส่วนการลงทุน 20% โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3% ต่อปี
          “กองทุนดังกล่าวเหมาะสมกับนักลงทุนที่มองหาการลง ทุนระยะสั้นและมีความเสี่ยงต่ำคาดว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนัก ลงทุน เนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และกองทุนดังกล่าวมีการกระจายการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ที่ มีคุณภาพที่ออกโดยสถาบันการเงินชั้นนำของต่างประเทศนายฉัตรพี กล่าว
          รายงานข่าวจากบลจ. ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เปิดไอพีโอกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 5 อายุในการลงทุนประมาณ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 3.4% ทั้งนี้กองทุนมีขนาดการลงทุนที่ 3,000 ล้าน บาท นักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำได้ 1,000 บาท เริ่มเปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 9 มกราคม 2555
          ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะเข้าไปลงทุน ในเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Union National Bank ในสัดส่วน 20.50%, เงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร First Gulf Bank ในสัดส่วน 24%, พันธบัตรธนาคาร แห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 7.4%, ตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเชียนพร็อพเพอร์ตี้/บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์/บมจ.ศุภาลัย/บมจ. น้ำตาลมิตรผล 24%, ตั๋วแลกเงิน บมจ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส 24%, เงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ 0.1%


ปัญหาหนี้อียูเริ่มส่งสัญญาณบวก แต่ระวังหุ้น-บอนด์ทั่วโลกยังผันผวน

Source - ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          ฝ่ายวิจัยบลจ.กรุงไทย ประเมิน ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น และตราสารหนี้ทั่วโลกยังผันผวนต่อ แนะนักลงทุนจับตาการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป พร้อมมองเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายได้ประมาณ 4.5% จับตากนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ขณะที่บล.เอเชียพลัส มองการแก้ปัญหาEU เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น
          รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด ( มหาชน) มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากที่ปัญหาน้ำท่วมได้คลี่คลายลง ประชาชนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอย การบูรณะซ่อมแซมเริ่มต้นขึ้น ซึ่งนับเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 แต่ความรุนแรงของปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นซึ่งสร้างความเสีย หายเป็นวงกว้างน่าจะกดดันเศรษฐกิจไทยหลักจากแรงกระตุ้นจากการบูรณะซ่อมแซม อ่อนแรงลงไป
          โดยรวมแล้วคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2555 น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 4.5% แต่จากเศรษฐกิจที่โดย รวมแล้วยังอ่อนแอและแนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลงน่าจะทำให้กนง.มีพื้นที่ในการลด ดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งหนึ่งในการประชุมวันที่ 25 มกราคม นี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นและคาดว่า กนง.น่าจะหยุดการปรับดอกเบี้ยในรอบนี้ไว้เพียงเท่านี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3.0% ในถึงช่วงครึ่งปี แต่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงท้ายปี 2555 เพื่อให้ดอกเบี้ยกลับเข้าสู่ระดับปกติและเพื่อให้สอด คล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่น่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีอันเป็นผลจากหลาย นโยบายของรัฐบาล
          สำหรับแนวโน้มการลงทุนในเดือนมกราคม ฝ่ายวิจัยคาดว่าดัชนีฯแกว่งตัวอยู่ในกรอบเดิมและจะขึ้นไปทอดสอบที่บริเวณ 1,050 จุดอีกครั้ง ซึ่งจะผ่านได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของปัจจัยต่างๆที่ยังต้องติดตาม ได้แก่ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้ของกลุ่ม EU ซึ่งต้องจับตาดูการประมูลพันธบัตรของประเทศต่างๆและการ ประชุมร่วมกันระหว่างประธานาธิบดีฝรั่งเศส โดยผู้นำทั้งสองจะเจรจาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่ในการคุมเข้มวินัยด้านงบประมาณ ในกลุ่ม EU รวมถึงการประชุมของ 27 ชาติสมาชิกอียูในวันที่ 23 มกราคม และการประชุมสุดยอดผู้นำ EU ในวันที่ 30 มกราคมนี้
          นอกจากนี้ยังมีความกังวลต่อประเทศฝรั่งเศสที่อาจจะถูก S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือลงรวมถึงอีก 6 ประเทศใน Eurozone อย่างไรก็ตามจะมีการเกร็งกำไรในหุ้น รายกลุ่มตามราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากควาวเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในประเด็น ของอิหร่านและการคาดการณ์การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหลังน้ำลดเพื่อการฟื้นฟูจาก ผลกระทบที่เกิดจากภาวะน้ำท่วม รวมถึงปัจจัยบวกจากนโยบายที่ผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง
          ฝ่ายวิจัยบลจ.กรุงไทย ระบุต่อว่า แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในเดือนนี้น่าจะมีความผันผวนในกรอบแคบๆ โดยอาจจะเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงต้นเดือนจากแรงเทขายทำกำไร แต่ยังน่าจะปรับลดลงในช่วงใกล้การประชุมกนง.ในวันที่ 25 มกราคม จากการคาดการณ์ว่า กนง.จะปรับลดอกเบี้ยอีกครั้ง อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องติดตามเหตุการณ์ในยุโรปอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา หรือผลการประมูลพันธรัฐบาลประเทศต่างๆซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทาง การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก
          สำหรับสถานการณ์ราคาทองคำนั้น ความกังวลต่อสถานการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปยังจะเป็นปัจจัยที่กระทบการลงทุนใน ตลาดการเงินโลก ซึ่งรวมถึงตลาดทองคำด้วย ความกังวลที่รุนแรงขึ้นจะทำให้นักลงทุนลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและหันมา ถือสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งรวมถึงทองคำด้วย
          นอกจากนี้ความตรึงเครียดระหว่างอิหร่านและประเทศ อื่นๆและเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนราคาทองคำใน ช่วงเดือนนี้ด้วย อย่างไรก็ตามการที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนอาจให้น้ำหนักกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยน้อยลง อีกทั้งการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่น่าจะได้รับประโยชน์จากปัญหาหนี้สาธารณะยุโรปน่าจะจำกัด Upside ของราคาทองคำในเดือนนี้
          ยุโรปเริ่มมีทางออก
          ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุดของยุโรป ทางฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในการประชุมของผู้นำยุโรป คือ เยอรมันและฝรั่งเศส ได้ก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง โดยเตรียมจะกำหนดกรอบการดำเนินการนโยบายการคลังใหม่(budget rulebook) ซึ่งจะประกาศใน 30 ม.ค. นี้ พร้อมกับเตรียมเร่งที่จะเรียกเงินจากประเทศสมาชิกเข้ากองทุน (ราว 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) ในกลางปี 2555 ตามที่ได้ตกลงกันเมื่อ ธ.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อช่วยระงับปัญหาวิกฤติการเงินในยุโรปมิให้บานปลาย ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปลายไตรมาสแรกของปี 2555 การเคลื่อนไหวเหล่านี้ถือว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุน นอกจากที่
          ก่อนหน้านี้ประเทศผู้นำเศรษฐกิจชั้นนำของโลก พร้อมใจกันที่จะอัดฉีดเงินให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกยุโรปที่ประสบ ปัญหาขาดสภาพคล่อง แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันระยะสั้นยังมีอยู่ใน 2 ประเด็น
          นอกเหนือจากปัญหาการเมื่อที่ใกล้เลือกตั้งใน 2 ประเทศผู้นำแล้วคือ 1. ท่าทีของ กรีซ ต่อแผนการอยู่ในกลุ่มยุโรปต่อไป พร้อมตัดลดงบประมาณให้สอดคล้องกับข้อเสนอของเจ้าหนี้ที่ให้ debt haircut 50% ตามเงื่อนไขในการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินรอบ 2 วงเงิน 159 พันล้านเหรียญยูโร ขณะที่วงเงินช่วยเหลือรอบแรก 110พันล้านเหรียญยูโรของรับไปแล้ว 7 ครั้งเป็นเงิน 50 พันล้านเหรียญฯยูโร ของกรีซ และ 2.การ Refinance หุ้นกู้ของประเทศสมาชิกในสภาพยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี ที่ใกล้ครบกำหนด
          โดยคาดว่าจะมีการออกหุน้ กู้ชุดใหม่ในวงเงิน 12 พันล้านเหรียญยูโร เป็นพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่ตลาดคาดว่าอัตราผลตอบแทนอาจพุ่งขึ้นอีก 0.03% เป็น 7.16% เช่นเดียวกับสเปน ที่คาดว่าจะมีการออกพันธบัตรอายุ 3-4ปี ผลตอบแทน(yield curve) ราว 3.25-4.25% สิ่งเหล่านี้ยังคงกดดันค่าเงินยูโร แม้ในช่วงสั้น ค่าเงินยูโรอาจจะฟื้นตัวช่วงสั้นหลังจากที่แตะระดับต่ำสุดที่ 1.2671 เหรียญฯ โดยล่าสุดขึ้นมาที่ 1.277 เหรียญฯ อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรป มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการปรับลด GDPลง และมีบางประเทศอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงโอกาสการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อทำให้มองว่าค่าเงินยูโรยังมีทิศ ทางขาลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งน่าจะเป็นสะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกชะลอ และหุ้นในยุโรปน่าจะกดดันตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง

การเคหะแห่งชาติ วางใจ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3 ปี
Source - Investor Station (Th)


          อุบลศรี สุนทรนัย  ผู้ ช่วยผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ ได้มอบความไว้วางใจให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด บริษัทในกลุ่มซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) นำโดยอนุสรณ์ บูรณกานนท์  กรรมการ ผู้จัดการ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด ดำเนินการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นระยะเวลา 3 ปี (ปี 55 - 57) โดยได้จัดพิธีลงนามสัญญาแต่งตั้งบริษัทจัดการ ณ โรงแรม เรอเนสซองซ์ กรุงเทพ ราชประสงค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น